รัฐบาลจีนได้ประกาศแผนพัฒนาเทคโนโลยี เมื่อเดือน ก.ค.๖๐ ที่จะผลักดันให้จีนเป็นผู้นำด้าน IT ของโลกภายในปี ๒๐๓๐ (พ.ศ.๒๕๗๓)
รัฐบาลจีนได้ประกาศแผนพัฒนาเทคโนโลยี เมื่อเดือน ก.ค.๖๐ ที่จะผลักดันให้จีนเป็นผู้นำด้าน IT ของโลกภายในปี ๒๐๓๐ (พ.ศ.๒๕๗๓) มีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
๑. เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ภายในปี ๒๐๓๐ (พ.ศ.๒๕๗๓) จีนจะต้องเป็นผู้นำโลกทางด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) ซึ่งหมายถึงความฉลาด ความรู้ที่สร้างขึ้นมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต โดยรวบรวมหลายๆ สิ่งไว้ในสิ่งนั้น เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ให้สามารถคิดและเป็นผู้ช่วยในด้านต่างๆ มีระบบคิด ระบบกระทำอย่างมีเหตุผลตามปัจจัยเหมือนมนุษย์ เช่น ระบบนำทางรถยนต์ไร้คนขับ, หุ่นยนต์ที่มีความสามารถทำงานคล้ายกับมนุษย์ และระบบการทำงานต่างๆ ในสมาร์ทโฟน เป็นต้น
ทั้งนี้ได้ตั้งเป้าที่จะสร้างอุตสาหกรรม IT ที่มีรายได้รวมปีละ ๑ ล้านล้านหยวน รวมทั้งสร้างผลงานใหม่ที่สำคัญทางด้านเทคโนโลยี IT ภายในปี ๒๐๒๕ (พ.ศ.๒๕๖๘) และหวังที่จะเร่งพัฒนา AI ในเชิงพาณิชย์ในด้านต่างๆ ไม่เพียงแต่ในเรื่อง smart cities แต่จะรวมไปถึงทางด้านการทหารด้วย
๒. แนวทางหรือวิธีการดำเนินการ
๒.๑ กำหนดมาตรการลดหย่อนทางภาษี เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยเฉพาะการกระตุ้นภาคเอกชนให้ขับเคลื่อนการวิจัยไปสู่เป้าหมาย
๒.๒ สร้างนครอุตสาหกรรมทั่วประเทศสำหรับอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ และเพิ่มความเข้มข้นในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาให้แก่ผลผลิตจากการวิจัย AI อีกทั้งจะผลักดันเทคโนโลยีฯ ให้แทรกซึมเข้าไปยังทุกภาคอุตสาหกรรม
๒.๓ ซีอีโอของไป่ตู้ (Baidu) ชื่อ โรเบิร์ต ลี ในฐานะเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาประชาชนได้เสนอให้ตั้ง “สมองจีน” (China Brain) เพื่อให้รัฐบาลทุ่มงบประมาณในการวิจัยด้าน AI อย่างจริงจัง โดยให้ความสำคัญกับการผลิตผู้เชี่ยวชาญด้านสมองกลรุ่นใหม่ รวมทั้งร่างแผนพัฒนา AI ในยุคต่อไป บรรจุรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับ AI และการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้าในโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น ตลอดจนวางแผนที่จะเพิ่มหลักสูตรดังกล่าวลงในสถาบันอาชีวะและสถาบันการศึกษาระดับสูงในจีน นอกจากนี้ จีนยังได้วางแผนสร้างความร่วมมือร่วมกับสถาบันชั้นนำทางด้าน AI ระดับนานาชาติอีกด้วย
๒.๔ เปิดตัวห้องปฏิบัติการวิจัย AI แห่งชาติเป็นแห่งแรกขึ้นในมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (China University of Science and Technology /USTC) เมื่อเดือน พ.ค.๖๐ เพื่อเป็นศูนย์กลางการรวบรวมผู้มีความสามารถด้านการวิจัยชั้นนำของประเทศในการพัฒนาเทคโนโลยีสมองกล ซึ่งมีระบบประมวลผลที่เลียนแบบสมองมนุษย์ ภายใต้ความร่วมมือค้นคว้าวิจัยของสถาบันชั้นนำต่างๆ ทั่วจีน อาทิ มหาวิทยาลัยฟูตั้น, Shenyang Institute of Automation of the Chinese Academy of Science และ ไป่ตู้ เสิร์ชเอนจิ้นใหญ่ที่สุดของจีน
๒.๕ รับจดทะเบียนสิทธิบัตรด้าน AI โดยในช่วงเวลาปี ๒๐๑๐ - ๒๐๑๔ (พ.ศ.๒๕๕๓ - ๒๕๕๗) กว่า ๘,๔๑๐ รายการ ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงขึ้นกว่า ๕ เท่าตัว เมื่อเทียบกับการจดทะเบียนฯ ในช่วงปี ๒๐๐๕ - ๒๐๐๙( (พ.ศ.๒๕๔๘ - ๒๕๕๒) ที่มีจำนวนการจดทะเบียนจำนวน ๒,๙๓๔ รายการ
๓. เครื่องมือในการดำเนินการ
๓.๑ ปัจจัยด้านการลงทุน โดยมีการลงทุน ๓ อันดับแรก ได้แก่
(๑) คอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer vision) ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของวิทยาการคอมพิวเตอร์ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับการดึงสารสนเทศจากรูปภาพหรือวีดิทัศน์ ในสัดส่วน ๒๓%
(๒) การประมวลผลภาษาโดยธรรมชาติ (Natural Language Processing : NLP) ในสัดส่วน ๑๙%
(๓) การขับขี่อัตโนมัติ ในสัดส่วน ๑๘%
๓.๒ ปัจจัยด้านการวิจัย จากการประเมินปริมาณวิทยานิพนธ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ พบว่า การวิจัยด้านเทคโนโลยี AI ของจีนได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว แผนการพัฒนเทคโนโลยี AI ของรัฐบาลจีนดึงดูดให้นักวิจัยชาวจีนในต่างประเทศกลับสู่ดินแดนมาตุภูมิ รวมถึงนักวิจัยจากทั่วทุกมุมโลกที่หลั่งไหลเข้ามาในจีน โดยเริ่มมองหาคนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ ซึ่งเป็นคนต่างชาติ อย่าง อเมริกัน ญี่ปุ่น อินเดีย และอิสราเอล ที่มีองค์ความรู้ด้าน AI และพัฒนาด้านนี้มาก่อนจีน ด้วยการให้สิทธิพิเศษ เช่น ได้รับเงินก้นถุง ๑ ล้านหยวน (๕ ล้านบาท) ได้วีซ่า ๑๐ ปี และสามารถครอบครองอสังหาฯ ได้ เป็นต้น
บทสรุป
การพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งจีนมีจุดแข็งในด้านข้อมูล (Data) อินเทอร์เน็ต และ Internet of Things (IoT) โดยมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตราว ๗๗๒ ล้านคน เมื่อผนวกเข้ากับการสนับสนุของรัฐบาลจีน จึงเป็นตัวจักรสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยี AI ในจีนได้พัฒนาและก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง สมดังวลีที่ว่า “โลกเปลี่ยน เมื่อจีนขยับ”ซึ่งใช้อธิบายความสำคัญของจีนในสายตาชาวโลกได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของรัฐบาลจีนในแผนงานพัฒนาเทคโนโลยี AI ดังกล่าวในข้างต้น
นอกจากนี้ แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบาทำนายว่า ในอีก ๓๐ ปีข้างหน้า ปกนิตยสารไทม์จะนำภาพของหุ่นยนต์ขึ้นปกในฐานะผู้บริหารที่ดีที่สุดแห่งปี เพราะการปฏิวัติหุ่นยนต์ทำให้จักรกลสามารถทำงานได้รวดเร็วและมีเหตุผลมากกว่ามนุษย์ อีกทั้งไม่มีความหวั่นไหวทางอารมณ์ พร้อมกับเตือนว่า ผู้นำองค์กรที่ไม่เข้าใจเทคโนโลยี ควรสรรหาคนหนุ่มรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน เพื่อรับมือกับยุคที่จะมาถึง และเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โลกต้องเปลี่ยนวิธีการศึกษา และสร้างวิธีการทำงานกับหุ่นยนต์ ในขณะที่ประเทศไทยก็ตอบรับกับเทรนด์หุ่นยนต์และ AI อย่างเต็มที่ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อุตสาหกรรม ๔.๐ เช่นกัน
ประมวลโดย : พันเอกไชยสิทธิ์ ตันตยกุล
ข้อมูลจากเว็บไซต์
https://www.prachachat.net/world-news/news-8454
http://www.news1live.com/detail.aspx?NewsID=9600000125925
http://www.thaibizchina.com/thaibizchina/th/business-opportunity/detail.php?SECTION_ID=671&ID=18356
https://www.salika.co/2018/02/13/artificial-intelligence-in-china/
https://www.facebook.com/NewSilkRoadMag/posts/2163505560547472
https://pantip.com/topic/36826300