bg-head-3

ประวัติส่วนตัว

บทที่ ๔ การรุกโต้ตอบทางยุทธศาสตร์

 

บทที่ ๔
การรุกโต้ตอบทางยุทธศาสตร์
 
การเอาชนะการรุกของข้าศึกที่เหนือกว่าอย่างสัมบูรณ์นั้น, อาศัยสถานการณ์ที่่สร้างขึ้นในขั้นการถอยทางยุทธศาสตร์  ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เป็นผลดีแก่เรา ไม่เป็นผลดีแก่ข้าศึก  และซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงไปแล้วเมื่อเทียบกับสถานการณ์ในขณะที่ข้าศึกเริ่มรุก และสถานการณ์เช่นนี้สร้างขึ้นด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ.  ข้อนี้ได้กล่าวไว้แล้วในข้างต้น.
แต่การมีเงื่อนไขและสถานการณ์ที่เป็นผลดีแก่เราไม่เป็นผลดีแก่ข้าศึกนั้น  ยังมิได้ทำให้ข้าศึกพ่ายแพ้.  เงื่อนไขและสถานการณ์เช่นนี้ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะชี้ขาดการแพ้ชนะ  แต่ยังมิใช่ความเป็นจริงของการแพ้ชนะ  ยังมิได้ทำให้การแพ้ชนะระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่ายปรากฏเป็นจริงขึ้น.  การที่จะทำให้การแพ้ชนะนี้ปรากฏเป็นจริงขึ้นนั้น   ต้องอาศัยการรบแตกหักระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่าย.  มีแต่การรบแตกหักเท่านั้นที่จะสามารถแก้ปัญหาใครแพ้ใครชนะในระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่ายให้ตกได้.  นี่คือภาระหน้าที่ทั้งหมดในขั้นการรุกโต้ตอบทางยุทธศาสตร์.  การรุกโต้ตอบเป็นกระบวนการที่ยาวยืดกระบวนหนึ่ง  เป็นขั้นที่ยอดเยี่ยมที่สุดและคึกคักที่สุดของการรบด้วยวิธีรับ  และก็เป็นขั้นสุดท้ายของการรบด้วยวิธีรับด้วย.  ที่เรียกว่าการรับอย่างเป็นฝ่ายกระทำนั้น หมายถึงการรุกโต้ตอบทางยุทธศาสตร์ที่มีลักษณะการรบแตกหักชนิดนี้เป็นสำคัญ.
เงื่อนไขและสถานการณ์ไม่เพียงแต่สร้างขึ้นในขั้นการถอยทางยุทธศาสตร์เท่านั้น  หากยังสร้างต่อไปอีกในขั้นการรุกโต้ตอบด้วย.  เงื่อนไขและสถานการณ์ในยามนี้มิได้มีรูปแบบอย่างเดียวกันและลักษณะอย่างเดียวกันกับเงื่อนไขและสถานการณ์ในขั้นก่อนเสียทั้งหมด.
สิ่งที่อาจมีรูปแบบอย่างเดียวกันและลักษณะอย่างเดียวกัน เช่น ความอ่อนเพลียยิ่งขึ้นและกำลังพลยิ่งลดลงของกองทัพข้าศึกในยามนี้นั้น เป็นแต่เพียงการต่อเนื่องของความอ่อนเพลียและการลดกำลังพลในขั้นก่อนเท่านั้น.
แต่ก็ย่อมจะมีเงื่อนไขและสถานการณ์ที่ใหม่โดยตลอดปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน.  เช่น เมื่อกองทัพข้าศึกรบแพ้มาครั้งหนึ่งหรือหลายครั้งแล้ว  เงื่อนไขที่เป็นผลแก่เราไม่เป็นผลดีแก่ข้าศึกในยามนี้ก็ไม่เพียงพอแต่กองทัพข้าศึกอ่อนเพลีย ฯลฯ เท่านั้น  หากยังได้เพิ่มเงื่อนไขใหม่ คือกองทัพข้าศึกรบแพ้นี้เข้าไปอีกด้วย.   สถานการณ์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ขึ้นด้วย.  กองทัพข้าศึกโยกย้ายกันชุลมุน  ทำผิดๆพลาดๆ, ความเหนือกว่าและด้อยกว่าของกองทัพทั้งสองฝ่ายก็จึงไม่เหมือนกับเมื่อก่อน.
ถ้าฝ่ายที่รบแพ้มาครั้งหนึ่งหรือหลายครั้งนั้น  ไม่ใช่กองทัพข้าศึก  หากเป็นกองทัพฝ่ายเรา  เช่นนี้แล้ว  ความเป็นผลดีหรือไม่ของเงื่อนไขและสถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม.  กล่าวคือ ความไม่เป็นผลดีของข้าศึกจะลดลง, ความไม่เป็นผลดีของเราก็จะเริ่มเกิดขึ้น กระทั่งขยายกว้างออกไป.  นี่ก็เป็นสิ่งใหม่โดยตลอดซึ่งต่างกับเมื่อก่อนอีกเช่นกัน.
จะเป็นฝ่ายไหนพ่ายแพ้ก็ตาม  ความพ่ายแพ้นั้นก็ล้วนแต่จะทำให้ฝ่ายแพ้เกิดความพยายามใหม่ขึ้นโดยตรงและรวดเร็ว,  นั่นก็คือ  ความพยายามที่มุ่งจะกู้สถานการณ์ที่เป็นอันตราย  ทำให้ตนหลุดพ้นจากเงื่อนไขและสถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีแก่ตนหากเป็นผลดีแก่ข้าศึกซึ่งปรากฏขึ้นใหม่นี้   และสร้างเงื่อนไขและสถานการณ์ที่เป็นผลดีแก่ตนหากไม่เป็นผลดีแก่ข้าศึกขึ้นใหม่อีกเพื่อบีบฝ่ายตรงกันข้าม.
ความพยายามของฝ่ายชนะตรงกันข้ามกับที่กล่าวมานี้ ฝ่ายนี้พยายามจะขยายชัยชนะของตนออกไป  ยังความเสียหายแก่ข้าศึกให้มากยิ่งขึ้น  พยายามเพิ่มหรือขยายเงื่อนไขและสถานการณ์ที่เป็นผลดีแก่ตน  และพยายามไม่ให้ฝ่ายตรงกันข้ามบรรลุความมุ่งหมายที่จะหลุดพ้นจากความเสียเปรียบและกู้สถานการณ์อันตรายนั้นได้.
ฉะนั้น ไม่ว่าจะกล่าวสำหรับฝ่ายใด การต่อสู้ในขั้นการรบแตกหักก็เป็นการต่อสู้ที่รุนแรงที่สุด  สลับซับซ้อนที่สุด แปรเปลี่ยนมากที่สุด และก็ลำบากที่สุด ยากเข็ญที่สุดในตลอดสงครามหรือตลอดการยุทธ์  และกล่าวในด้านการบัญชาการแล้ว ก็เป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุด.
ในขั้นการรุกโต้ตอบ มีปัญหาอยู่มากมาย  ที่สำคัญ ๆ เช่น ปัญหาการเริ่มรุกโต้ตอบ  ปัญหาการรวมศูนย์กำลังทหาร, ปัญหาการรบเคลื่อนที่  ปัญหาการรบแตกหักรวดเร็ว  ปัญหาการรบทำลายล้าง เป็นต้น.
หลักการในปัญหาเหล่านี้  ไม่ว่าจะกล่าวในด้านการรุกโต้ตอบหรือกล่าวในด้านการรุก  ไม่มีอะไรแตกต่างกันในทางลักษณะพื้นฐานของมัน.  โดยความหมายนี้แล้ว กล่าวได้ว่าการรุกโต้ตอบก็คือการรุกนั่นเอง.
แต่การรุกโต้ตอบก็มิใช่การรุกเสียทั้งหมด.   หลักการรุกโต้ตอบนั้นใช้ในเวลาที่ข้าศึกรุก.  หลักการรุกใช้ในเวลาที่ข้าศึกรับ.  โดยความหมายนี้แล้ว  ก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง.
เนื่องด้วยเหตุผลดังกล่าว  แม้ว่าในที่นี้จะเอาปัญหาหลายต่อหลายอย่างของการรบมากล่าวไว้หมดในภาคการรุกโต้ตอบของการรับทางยุทธศาสตร์ ส่วนในภาคการรุกทางยุทธศาสตร์จะกล่าวแต่เพียงปัญหาอื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวซ้ำ  แต่เวลาที่เรานำไปใช้นั้น จะมองข้ามข้อที่เหมือนกันของมันไม่ได้,  และก็จะมองข้ามข้อที่ต่างกันของมันไมได้เช่นเดียวกัน.
 

บทที่ ๔

การรุกโต้ตอบทางยุทธศาสตร์

 

          การเอาชนะการรุกของข้าศึกที่เหนือกว่าอย่างสัมบูรณ์นั้น, อาศัยสถานการณ์ที่่สร้างขึ้นในขั้นการถอยทางยุทธศาสตร์  ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เป็นผลดีแก่เรา ไม่เป็นผลดีแก่ข้าศึก  และซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงไปแล้วเมื่อเทียบกับสถานการณ์ในขณะที่ข้าศึกเริ่มรุก และสถานการณ์เช่นนี้สร้างขึ้นด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ.  ข้อนี้ได้กล่าวไว้แล้วในข้างต้น. 

           แต่การมีเงื่อนไขและสถานการณ์ที่เป็นผลดีแก่เราไม่เป็นผลดีแก่ข้าศึกนั้น  ยังมิได้ทำให้ข้าศึกพ่ายแพ้.  เงื่อนไขและสถานการณ์เช่นนี้ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะชี้ขาดการแพ้ชนะ  แต่ยังมิใช่ความเป็นจริงของการแพ้ชนะ  ยังมิได้ทำให้การแพ้ชนะระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่ายปรากฏเป็นจริงขึ้น.  การที่จะทำให้การแพ้ชนะนี้ปรากฏเป็นจริงขึ้นนั้น   ต้องอาศัยการรบแตกหักระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่าย.  มีแต่การรบแตกหักเท่านั้นที่จะสามารถแก้ปัญหาใครแพ้ใครชนะในระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่ายให้ตกได้.  นี่คือภาระหน้าที่ทั้งหมดในขั้นการรุกโต้ตอบทางยุทธศาสตร์.  การรุกโต้ตอบเป็นกระบวนการที่ยาวยืดกระบวนหนึ่ง  เป็นขั้นที่ยอดเยี่ยมที่สุดและคึกคักที่สุดของการรบด้วยวิธีรับ  และก็เป็นขั้นสุดท้ายของการรบด้วยวิธีรับด้วย.  ที่เรียกว่าการรับอย่างเป็นฝ่ายกระทำนั้น หมายถึงการรุกโต้ตอบทางยุทธศาสตร์ที่มีลักษณะการรบแตกหักชนิดนี้เป็นสำคัญ. 

           เงื่อนไขและสถานการณ์ไม่เพียงแต่สร้างขึ้นในขั้นการถอยทางยุทธศาสตร์เท่านั้น  หากยังสร้างต่อไปอีกในขั้นการรุกโต้ตอบด้วย.  เงื่อนไขและสถานการณ์ในยามนี้มิได้มีรูปแบบอย่างเดียวกันและลักษณะอย่างเดียวกันกับเงื่อนไขและสถานการณ์ในขั้นก่อนเสียทั้งหมด. 

           สิ่งที่อาจมีรูปแบบอย่างเดียวกันและลักษณะอย่างเดียวกัน เช่น ความอ่อนเพลียยิ่งขึ้นและกำลังพลยิ่งลดลงของกองทัพข้าศึกในยามนี้นั้น เป็นแต่เพียงการต่อเนื่องของความอ่อนเพลียและการลดกำลังพลในขั้นก่อนเท่านั้น. 

           แต่ก็ย่อมจะมีเงื่อนไขและสถานการณ์ที่ใหม่โดยตลอดปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน.  เช่น เมื่อกองทัพข้าศึกรบแพ้มาครั้งหนึ่งหรือหลายครั้งแล้ว  เงื่อนไขที่เป็นผลแก่เราไม่เป็นผลดีแก่ข้าศึกในยามนี้ก็ไม่เพียงพอแต่กองทัพข้าศึกอ่อนเพลีย ฯลฯ เท่านั้น  หากยังได้เพิ่มเงื่อนไขใหม่ คือกองทัพข้าศึกรบแพ้นี้เข้าไปอีกด้วย.   สถานการณ์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ขึ้นด้วย.  กองทัพข้าศึกโยกย้ายกันชุลมุน  ทำผิดๆพลาดๆ, ความเหนือกว่าและด้อยกว่าของกองทัพทั้งสองฝ่ายก็จึงไม่เหมือนกับเมื่อก่อน. 

           ถ้าฝ่ายที่รบแพ้มาครั้งหนึ่งหรือหลายครั้งนั้น  ไม่ใช่กองทัพข้าศึก  หากเป็นกองทัพฝ่ายเรา  เช่นนี้แล้ว  ความเป็นผลดีหรือไม่ของเงื่อนไขและสถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม.  กล่าวคือ ความไม่เป็นผลดีของข้าศึกจะลดลง, ความไม่เป็นผลดีของเราก็จะเริ่มเกิดขึ้น กระทั่งขยายกว้างออกไป.  นี่ก็เป็นสิ่งใหม่โดยตลอดซึ่งต่างกับเมื่อก่อนอีกเช่นกัน. 

           จะเป็นฝ่ายไหนพ่ายแพ้ก็ตาม  ความพ่ายแพ้นั้นก็ล้วนแต่จะทำให้ฝ่ายแพ้เกิดความพยายามใหม่ขึ้นโดยตรงและรวดเร็ว,  นั่นก็คือ  ความพยายามที่มุ่งจะกู้สถานการณ์ที่เป็นอันตราย  ทำให้ตนหลุดพ้นจากเงื่อนไขและสถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีแก่ตนหากเป็นผลดีแก่ข้าศึกซึ่งปรากฏขึ้นใหม่นี้   และสร้างเงื่อนไขและสถานการณ์ที่เป็นผลดีแก่ตนหากไม่เป็นผลดีแก่ข้าศึกขึ้นใหม่อีกเพื่อบีบฝ่ายตรงกันข้าม. 

           ความพยายามของฝ่ายชนะตรงกันข้ามกับที่กล่าวมานี้ ฝ่ายนี้พยายามจะขยายชัยชนะของตนออกไป  ยังความเสียหายแก่ข้าศึกให้มากยิ่งขึ้น  พยายามเพิ่มหรือขยายเงื่อนไขและสถานการณ์ที่เป็นผลดีแก่ตน  และพยายามไม่ให้ฝ่ายตรงกันข้ามบรรลุความมุ่งหมายที่จะหลุดพ้นจากความเสียเปรียบและกู้สถานการณ์อันตรายนั้นได้. 

           ฉะนั้น ไม่ว่าจะกล่าวสำหรับฝ่ายใด การต่อสู้ในขั้นการรบแตกหักก็เป็นการต่อสู้ที่รุนแรงที่สุด  สลับซับซ้อนที่สุด แปรเปลี่ยนมากที่สุด และก็ลำบากที่สุด ยากเข็ญที่สุดในตลอดสงครามหรือตลอดการยุทธ์  และกล่าวในด้านการบัญชาการแล้ว ก็เป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุด. 

           ในขั้นการรุกโต้ตอบ มีปัญหาอยู่มากมาย  ที่สำคัญ ๆ เช่น ปัญหาการเริ่มรุกโต้ตอบ  ปัญหาการรวมศูนย์กำลังทหาร, ปัญหาการรบเคลื่อนที่  ปัญหาการรบแตกหักรวดเร็ว  ปัญหาการรบทำลายล้าง เป็นต้น. 

           หลักการในปัญหาเหล่านี้  ไม่ว่าจะกล่าวในด้านการรุกโต้ตอบหรือกล่าวในด้านการรุก  ไม่มีอะไรแตกต่างกันในทางลักษณะพื้นฐานของมัน.  โดยความหมายนี้แล้ว กล่าวได้ว่าการรุกโต้ตอบก็คือการรุกนั่นเอง. 

           แต่การรุกโต้ตอบก็มิใช่การรุกเสียทั้งหมด.   หลักการรุกโต้ตอบนั้นใช้ในเวลาที่ข้าศึกรุก.  หลักการรุกใช้ในเวลาที่ข้าศึกรับ. โดยความหมายนี้แล้ว  ก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง. 

           เนื่องด้วยเหตุผลดังกล่าว  แม้ว่าในที่นี้จะเอาปัญหาหลายต่อหลายอย่างของการรบมากล่าวไว้หมดในภาคการรุกโต้ตอบของการรับทางยุทธศาสตร์ ส่วนในภาคการรุกทางยุทธศาสตร์จะกล่าวแต่เพียงปัญหาอื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวซ้ำ  แต่เวลาที่เรานำไปใช้นั้น จะมองข้ามข้อที่เหมือนกันของมันไม่ได้,  และก็จะมองข้ามข้อที่ต่างกันของมันไมได้เช่นเดียวกัน.