bg-head-3

ประวัติส่วนตัว

ตอนที่ ๗ การรบเคลื่อนที่

ตอนที่ ๗
การรบเคลื่อนที่
 
การรบเคลื่อนที่หรือการรบประจำที่?  คำตอบของเราคือ, การรบเคลื่อนที่.  ในเงื่อนไขที่ไม่มีกำลังทหารมากมาย ไม่มีกระสุนวัตถุระเบิดมาเพิ่มเติม และฐานที่มั่นแต่ละแห่งรบไปรบมาก็อยู่แต่กำลังกองทัพแดงเพียงกองเดียวนั้น  การรบประจำที่ไม่มีประโยชน์แก่เราโดยพื้นฐาน.  สำหรับเราแล้ว, การรบประจำที่ไม่เพียงแต่ใช้ไม่ได้โดยพื้นฐานในเวลารับเท่านั้น ถึงในเวลารุกก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน.
ข้อหนึ่งในลักษณะพิเศษที่เด่นชัดของการปฏิบัติการรบของกองทัพแดงอันเกิดจากการที่ข้าศึกเข้มแข็งและกองทัพแดงขัดสนและอ่อนทางเทคนิคนั้น ก็คือ ไม่มีแนวรบที่คงที่.
แนวรบของกองทัพแดงขึ้นอยู่กับทิศทางปฏิบัติการรบของกองทัพแดง. ทิศทางปฏิบัติการรบไม่คงที่ส่งผลสะเทือนให้แนวรบไม่คงที่.  แม้ว่าทิศทางใหญ่จะไม่เปลี่ยนแปลงในระยะเวลาหนึ่งก็ตาม แต่ทิศทางเล็กภายในทิศทางใหญ่นั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ เมื่อทิศทางหนึ่งถูกจำกัด เราก็ต้องเปลี่ยนไปสู่อีกทิศทางหนึ่ง.  เมื่อระยะเวลาหนึ่งให้หลัง ทิศทางใหญ่ก็ถูกจำกัด เราก็ต้องเปลี่ยนแปลงแม้กระทั่งทิศทางใหญ่นี้.
ในสมัยสงครามกลางเมืองปฏิวัติ แนวรบจะคงที่ไม่ได้  ถึงในสหภาพโซเวียตก็เคยมีสภาพเช่นนี้.  ข้อแตกต่างระหว่างกองทัพสหภาพโซเวียตกับกองทัพของเรานั้นอยู่ที่ระดับความไม่คงที่ของเขาไม่สูงเท่าของเรา.  สงครามทั้งปวงไม่อาจจะมีแนวรบที่คงที่อย่างสัมบูรณ์ได้ทั้งสิ้น ความเปลี่ยนแปลงของการชนะกับการแพ้ การรุกกับการถอยไม่อำนวยให้เป็นเช่นนั้น. แต่แนวรบที่คงที่อย่างสัมพัทธ์นั้นมักจะปรากฏในสงครามทั่วไป.  จะมีข้อยกเว้นก็แต่กองทัพที่ความแข็งอ่อนระหว่างข้าศึกกับตนเหลื่อมล้ำกันมาก ดังเช่นกองทัพแดงของจีนในขั้นปัจจุบันเท่านั้น.
ความไม่คงที่ของแนวรบส่งผลให้เกิดความไม่คงที่ของเขตแดงฐานที่มั่น.  บางเวลาใหญ่ บางเวลาเล็ก บางเวลาหด, บางเวลาขยาย ทั้งนี้เป็นเรื่องที่มีอยู่เป็นประจำ และสภาพที่ที่นี่ได้มา ที่นั่นเสียไปก็มักจะเกิดขึ้นเสมอ.  ลักษณะเคลื่อนที่ของเขตแดนเช่นนี้ ล้วนแต่เนื่องมาจากลักษณะเคลื่อนที่ของสงครามทั้งสิ้น.
ลักษณะเคลื่อนที่ของสงครามและเขตแดน ส่งผลให้งานสร้างสรรค์ต่าง ๆ ในฐานที่มั่นก็เกิดลักษณะเคลื่อนที่ไปด้วย.  โครงการสร้างสรรค์ระยะหลาย ๆ ปีนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะคาดคิดได้.  การเปลี่ยนแปลงโครงการบ่อย ๆ นั้นเป็นเรื่องปรกติธรรมดาสำหรับเรา.
การยอมรับลักษณะพิเศษข้อนี้เป็นประโยชน์แก่เรา.  พึงกำหนดระเบียบวาระการงานของเราโดยเริ่มต้นจากลักษณะพิเศษข้อนี้  อย่าได้เพ้อฝันถึงสงครามที่มีแต่การรุกไม่มีถอย อย่าได้ตระหนกตกใจในการเคลื่อนที่ชั่วคราวของเขตแดนและเขตหลังทางการทหาร  อย่าได้มุ่งที่จะวางโครงการรูปธรรมที่มีระยะเวลายาวนาน.  พึงปรับความคิดและการงานของเราให้เข้ากับสภาพการณ์ พร้อมที่จะนั่งลง  และก็พร้อมที่จะออกเดิน, อย่าได้ทิ้งไถ้เสบียงกรังไปเสีย.  มีแต่ใช้ความมานะพยายามในชีวิตที่เคลื่อนที่ในปัจจุบันเท่านั้น จึงจะสามารถช่วงชิงเอาความไม่ค่อยจะเคลื่อนที่ในอนาคตมาได้ จึงจะสามารถช่วงชิงเอาความแน่นอนในที่สุดมาได้.
สิ่งที่เรียกว่าเข็มมุ่งยุทธศาสตร์ “สงครามแบบแผน” ซึ่งครอบงำระยะต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๕ นั้นปฏิเสธลักษณะเคลื่อนที่ชนิดนี้  คัดค้านสิ่งที่เรียกว่า “ลัทธิจรยุทธ์”.  บรรดาสหายที่คัดค้านการเคลื่อนที่ได้ดำเนินงานโดยทำตัวประหนึ่งว่าเป็นผู้ครองอำนาจประเทศใหญ่ ผลสุดท้ายก็ได้มาซึ่งการเคลื่อนที่ครั้งใหญ่หลวงที่ผิดปรกติธรรมดา คือการเดินทัพทางไกล ๒๕,๐๐๐ ลี้
สาธารณรัฐประชาธิปไตยกรรมกรชาวนาของเราเป็นรัฐรัฐหนึ่ง แต่เวลานี้ยังเป็นรัฐที่ไม่สมบูรณ์.  เวลานี้เรายังอยู่ในระยะเป็นฝ่ายรับทางยุทธศาสตร์ของสงครามกลางเมือง อำนาจรัฐของเรายังห่างไกลจากรูปการรัฐที่สมบูรณ์อยู่มาก จำนวนพลและเทคนิคของกองทัพของเรายังด้อยกว่าของข้าศึกมากทีเดียว, เขตแดนของเรายังเล็กมาก ศัตรูของเราคิดอยู่ทุกขณะที่จะทำลายเราเสียให้หนำใจ.  การกำหนดเข็มมุ่งของเราจากข้อที่กล่าวมาข้างต้นนี้ มิใช่ว่าจะคัดค้านลัทธิจรยุทธ์โดยทั่วไป,  หากยอมรับลักษณะจรยุทธ์ของกองทัพแดงอย่างซื่อ ๆ.  ในที่นี้ความกระดากไม่มีประโยชน์อะไร.  ตรงกันข้าม ลักษณะจรยุทธ์เป็นลักษณะพิเศษของเราทีเดียว เป็นข้อเด่นของเราทีเดียว และก็เป็นเครื่องมือที่เรารบชนะข้าศึกทีเดียว.  เราควรจะเตรียมทิ้งลักษณะจรยุทธ์ แต่ทุกวันนี้ยังทิ้งไม่ได้. ในวันข้างหน้า ลักษณะจรยุทธ์จะเป็นสิ่งที่น่าละอายและจะต้องทิ้งไปเสียอย่างแน่นอน  แต่ทุกวันนี้มันกลับเป็นสิ่งที่ล้ำค่าและจะต้องยืนหยัดไว้.
“รบชนะได้ก็รบ รบชนะไม่ได้ก็จร”  นี่คือการอธิบายที่ใช้คำพูดง่าย ๆ สำหรับการรบเคลื่อนที่ของเราในทุกวันนี้.  ในโลกนี้ก็ไม่มีนักการทหารคนใดที่ยอมรับแต่การรบไม่ยอมรับการจร เพียงแต่ว่าไม่ได้จรอย่างหนักเหมือนพวกเราเท่านั้นเอง.  สำหรับพวกเรานั้น ตามปรกติเวลาจรมักจะมากกว่าเวลารบ, เฉลี่ยแล้วได้รบครั้งใหญ่สักเดือนละครั้งก็นับว่าดีแล้ว.  “การจร” ทุกครั้งล้วนแต่เพื่อ “การรบ” ทั้งสิ้น เข็มมุ่งทางยุทธศาตร์และทางการยุทธ์ทั้งปวงของเราล้วนแต่วางอยู่บนจุดพื้นฐานของ “การรบ” ทั้งนั้น.  แต่เบื้องหน้าของเรามีสภาพการณ์ที่ไม่เหมาะที่จะรบอยู่หลายชนิด: ชนิดที่ ๑ ข้าศึกที่อยู่เบื้องหน้ามีมา ไม่เหมาะที่จะรบ; ชนิดที่ ๒ ข้าศึกที่อยู่เบื้องหน้าแม้จะไม่มาก แต่ก็อยู่ใกล้ชิดอย่างยิ่งกับข้าศึกข้างเคียง บางครั้งก็ไม่เหมาะที่จะรบเหมือนกัน; ชนิดที่ ๓ กล่าวโดยทั่วไปแล้ว, ข้าศึกที่มิได้อยู่โดดเดี่ยวและมีที่มั่นอันแข็งแกร่งอย่างยิ่งนั้น, ล้วนแต่ไม่เหมาะที่จะรบทั้งนั้น; ชนิดที่ ๔ เมื่อรบแล้วไม่สามารถจะเอาให้แตกหักได้ ก็ไม่เหมาะที่จะรบต่อไป.  ในสภาพการณ์ดังกล่าวข้างต้น  เราก็พร้อมที่จะจร.  การจรเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยอมให้กระทำได้และเป็นสิ่งที่จำเป็น.  เพราะว่าการยอมรับการจรที่จำเป็นของเรานั้นอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ยอมรับการรบที่จำเป็นเป็นเบื้องแรก.  ลักษณะพิเศษพื้นฐานของการรบเคลื่อนที่ของกองทัพแดงก็อยู่ที่ตรงนี้นั่นเอง.
โดยพื้นฐานเป็นการรบเคลื่อนที่ แต่มิได้หมายความว่าจะปฏิเสธการรบประจำที่ที่จำเป็นและเป็นไปได้.  ในการรักษาจุดสำคัญทางด้านตรึงกำลังบางแห่งอย่างเหนียวแน่นในเวลารับทางยุทธศาสตร์  หรือการพบข้าศึกที่โดดเดี่ยวขาดการหนุนช่วยในเวลารุกทางยุทธศาสตร์นั้น  ก็ควรจะยอมรับการรับมือด้วยการรบประจำที่ทั้งนั้น.  ที่แล้วมาความจัดเจนที่ใช้การรบประจำที่เช่นนี้ไปเอาชนะข้าศึกนั้นเรามีอยู่แล้วไม่น้อย; เมือง, ป้อมปราการ และค่ายหมู่บ้านจำนวนมากได้ถูกเราตีแตก ที่มั่นสนามของข้าศึกที่สร้างไว้ดีพอสมควรก็ถูกเราทะลวงแตก.  ต่อไปยังจะต้องเพิ่มความพยายามในด้านนี้ ซ่อมจุดอ่อนของเราในด้านนี้ให้สมบูรณ์ขึ้น.  สมควรอย่างยิ่งที่เราจะส่งเสริมให้มีการโจมตีที่มั่นและการตั้งรับประจำที่ชนิดที่สภาพการณ์ต้องการและอำนวยให้.  ที่เราค้ดค้านนั้น ก็แต่เพียงการใช้การรบประจำที่โดยทั่ว ๆ ไปในเวลานี้  หรือการถือการรบประจำที่กับการรบเคลื่อนที่ในฐานะเท่าเทียมกันเท่านั้น  เหล่านี้ต่างหากที่เป็นสิ่งที่ยอมให้ไม่ได้.
ในระหว่างสงคราม ๑๐ ปี ลักษณะจรยุทธ์ของกองทัพแดง,การไม่มีแนวรบคงที่ ลักษณะเคลื่อนที่ของฐานที่มั่น และลักษณะเคลื่อนที่ของงานสร้างสรรค์ในฐานที่มั่น เหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อยกระนั้นหรือ?  มีการเปลี่ยนแปลง. ตั้งแต่สมัยจิ่งกังซานจนถึงก่อนหน้าการต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๑ ในกังไสเป็นขั้นแรก ในขั้นนี้ลักษณะจรยุทธ์และลักษณะเคลื่อนที่มีอยู่มากทีเดียว กองทัพแดงยังคงอยู่ในวัยเยาว์, ฐานที่มั่นยังเป็นเขตจรยุทธ์อยู่.  ตั้งแต่การต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๑ จนถึงการต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๓ เป็นขั้นที่สอง ในขั้นนี้ลักษณะจรยุทธ์และลักษณะเคลื่อนที่ได้ลดน้อยลงไปมาก กองทัพด้านได้ก่อตั้งขึ้นแล้ว ฐานที่มั่นที่มีพลเมืองหลายล้านคนได้มีขึ้นแล้ว.  ตั้งแต่ภายหลังการต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๓ จนถึงการต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๕ เป็นขั้นที่สาม ลักษณะจรยุทธ์และลักษณะเคลื่อนที่ยิ่งลดน้อยลงไปอีก.  รัฐบาลกลางและคณะกรรมการการทหารปฏิวัติได้ก่อตั้งขึ้นแล้ว.  การเดินทัพทางไกลเป็นขั้นที่สี่.  เนื่องจากปฏิเสธการจรยุทธ์ขนาดย่อมและการเคลื่อนที่ขนาดย่อมอย่างผิด ๆ จึงได้เกิดการจรยุทธ์ขนาดใหญ่และการเคลื่อนที่ขนาดใหญ่ขึ้น.  เวลานี้เป็นขั้นที่ห้า.  เนื่องจากมิได้ชนะ “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๕ และได้มีการเคลื่อนที่ขนาดใหญ่  กองทัพแดงและฐานที่มั่นจึงได้หดเล็กลงอย่างมากมาย  แต่ก็ได้ตั้งตัวติดอีกที่ภาคพายัพ  ได้เสริมความมั่นคงและขยายฐานที่มั่นเขตแดนต่อแดนส่านซี-กานซู่-หนิงเซี่ยออกไป.  กองทัพด้านทั้ง ๓ กองอันเป็นกำลังหลักของกองทัพแดงได้อยู่ภายใต้การบัญชาการที่เป็นเอกภาพ เรื่องนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลย.
โดยลักษณะทางยุทธศาสตร์แล้ว ก็กล่าวได้ว่า ตั้งแต่สมัยจิ่งกังซานจนถึงระยะต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๔ เป็นขั้นหนึ่ง ระยะต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๕ เป็นอีกขั้นหนึ่ง, ตั้งแต่เดินทัพทางไกลจนถึงเวลานี้เป็นขั้นที่ ๓.  เมื่อครั้งต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๕ คนบางส่วนได้ปฏิเสธเข็มมุ่งในอดีตซึ่งถูกต้องอยู่แล้วเสียอย่างผิด ๆ เวลานี้พวกเราก็ได้ปฏิเสธเข็มมุ่งที่ผิดพลาดของคนบางส่วนในระยะต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๕ นั้นไปอย่างถูกต้อง  และได้ฟื้นเข็มมุ่งอันถูกต้องในอดีตขึ้นมาอีก.  แต่มิใช่ว่าจะปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างในระยะต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๕ และก็มิใช่ว่าจะฟื้นทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตขึ้นมาอีก.  ที่ฟื้นขึ้นมานั้นคือสิ่งที่ดีงามในอดีต ที่ปฏิเสธนั้นคือสิ่งที่ผิดพลาดในระยะต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๕.
ลัทธิจรยุทธ์มีอยู่ ๒ ด้าน.  ด้านหนึ่งคือลักษณะที่ไม่ใช่เป็นแบบแผน ซึ่งก็คือ ไม่รวมศูนย์ ไม่เป็นเอกภาพ วินัยไม่เข้มงวด วิธีการทำงานเป็นแบบง่าย ๆ ฯลฯ. สิ่งเหล่านี้ติดมาจากความเยาว์วัยของกองทัพแดง บางสิ่งบางอย่างก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องการในขณะนั้นทีเดียว.  แต่ครั้นถึงขั้นสูงของกองทัพแดง ก็จะต้องค่อย ๆ ขจัดสิ่งเหล่านั้นไปอย่างมีความสำนึก ทำให้กองทัพแดงรวมศูนย์ยิ่งขึ้น  เป็นเอกภาพยิ่งขึ้น มีวินัยยิ่งขึ้น การงานถี่ถ้วนรอบคอบยิ่งขึ้น ซึ่งก็คือทำให้มีลักษณะแบบแผนยิ่งขึ้น.  ในด้านบัญชาการรบก็ควรจะค่อย ๆ ลดลักษณะจรยุทธ์ที่ไม่จำเป็นในขั้นสูงให้น้อยลงอย่างมีความสำนึกเช่นกัน.  การปฏิเสธที่จะก้าวหน้าในด้านนี้ และการหยุดชะงักที่ขั้นเก่าอย่างดื้อรั้นนั้น เป็นสิ่งที่ยอมให้ไม่ได้ เป็นสิ่งที่ให้โทษ และไม่เป็นผลดีแก่การทำการรบขนาดใหญ่.
อีกด้านหนึ่งคือเข็มมุ่งการรบเคลื่อนที่  คือลักษณะจรยุทธ์ในการปฏิบัติการรบทางยุทธศาสตร์และการปฏิบัติการยุทธ์ซึ่งยังจำเป็นอยู่ในเวลานี้  คือลักษณะเคลื่อนที่ของฐานที่มั่นซึ่งไม่มีทางจะยับยั้งได้ คือลักษณะแปรเปลี่ยนอย่างพลิกแพลงของโครงการสร้างสรรค์ฐานที่มั่น คือความไม่ต้องการการแปรเป็นแบบประจำการที่ไม่เหมาะกับกาลเวลาในการสร้างกองทัพแดง.  ในด้านนี้การปฏิเสธข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ การคัดค้านการสงวนสิ่งที่มีประโยชน์ไว้ การเหินห่างจากขั้นปัจจุบันอย่างสุ่ม ๆ เพื่อวิ่งหลับหูหลับตาไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “ขั้นใหม่” ซึ่งมองเห็นแต่สุดเอื้อมและไม่มีความหมายทางความเป็นจริงในขณะนี้นั้น ก็เป็นสิ่งที่ยอมให้ไม่ได้ เป็นสิ่งที่ให้โทษ และไม่เป็นผลดีแก่การรบในขณะนี้เหมือนกัน.
เวลานี้เรากำลังอยู่ในคืนก่อนขั้นใหม่ที่ถัดไปของเทคนิคและการจัดตั้งของกองทัพแดง.  เราควรจะเตรียมเปลี่ยนไปสู่ขั้นใหม่.  การไม่ตระเตรียมเช่นนี้ย่อมไม่ถูก และไม่เป็นผลดีแก่การรบในอนาคต.  ในวันข้างหน้า เมื่อเงื่อนไขทางเทคนิคและทางการจัดตั้งของกองทัพแดงได้เปลี่ยนแปลงไป และการสร้างกองทัพแดงได้เข้าสู่ขั้นใหม่แล้ว ความค่อนข้างคงที่ของทิศทางปฏิบัติการรบและแนวรบของกองทัพแดงก็จะปรากฏออกมา; การรบประจำที่ก็จะเพิ่มมากขึ้น; ลักษณะเคลื่อนที่ของสงคราม ลักษณะเคลื่อนที่ของเขตแดนและของการสร้างสรรค์ก็จะลดน้อยลงอย่างมากมาย  และในที่สุดก็จะสูญสิ้นไป; สิ่งที่จำกัดเราอยู่ในเวลานี้ ดังเช่น ข้าศึกที่เหนือกว่าและที่มั่นแข็งแกร่งที่ข้าศึกตั้งรับอยู่นั้น ก็จะไม่สามารถจำกัดเราได้.
ปัจจุบัน ด้านหนึ่งเราคัดค้านวิธีการที่ผิดพลาดในสมัยที่ลัทธิฉวยโอกาสเอียง “ซ้าย” ครอบงำอยู่  อีกด้านหนึ่งก็คัดค้านการฟื้นลักษณะที่ไม่ใช่เป็นแบบแผนหลายอย่างของกองทัพแดงในวัยเยาว์ซึ่งไม่จำเป็นในเวลานี้ขึ้นมา  แต่เราต้องฟื้นฟูหลักการสร้างกองทัพและหลักการยุทธศาสตร์ยุทธวิธีอันล้ำค่าเป็นอันมากที่กองทัพแดงใช้ไปรบชนะตลอดมานั้นอย่างเด็ดเดี่ยว.  เราต้องสรุปบรรดาสิ่งที่ดีงามในอดีตทั้งหมดขึ้นเป็นแนวทางการทหารที่เป็นระบบ ที่พัฒนายิ่งขึ้นและที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น, เพื่อช่วงชิงให้ได้ชนะข้าศึกในปัจจุบัน  และเตรียไปสู่ขั้นใหม่ในอนาคต.
ในด้านดำเนินการรบเคลื่อนที่นั้น มีปัญหาอยู่มากมาย เป็นต้นว่า การสอดแนม การวินิจฉัย การตัดสินใจ การจัดวางกำลังรบ การบัญชาการ การกำบัง การรวมศูนย์ การเคลื่อนเข้าหา, การขยายแนว การโจมตี การตามตี การจู่โจม การโจมตีที่มั่น, การตั้งรับประจำที่ การรบปะทะ การถอย การรบเวลากลางคืน, การรบชนิดพิเศษ การเลี่ยงแข็งกินอ่อน การล้อมเมืองตีกำลังหนุน การเข้าตีลวง การป้องกันภัยทางอากาศ การรบเมื่อตกอยู่ในระหว่างข้าศึกหลายกอง การรบโดยอ้อมผ่านข้าศึก การรบต่อเนื่อง การรบที่ปราศจากเขตหลัง ความจำเป็นในการสะสมกำลังบำรุงขวัญ ฯลฯ.  ปัญหาเหล่านี้ล้วนแต่แสดงถึงลักษณะพิเศษมากมายไว้ในประวัติการสงครามของกองทัพแดง ซึ่งในวิชาการยุทธ์ควรจะได้บรรยายไว้อย่างเป็นระเบียบ  ควรจะได้ทำข้อสรุปไว้ ข้าพเจ้าจะไม่ขอกล่าวในที่นี้.
 
 
 

 

ตอนที่ ๗

การรบเคลื่อนที่

 

          การรบเคลื่อนที่หรือการรบประจำที่?  คำตอบของเราคือ, การรบเคลื่อนที่.  ในเงื่อนไขที่ไม่มีกำลังทหารมากมาย ไม่มีกระสุนวัตถุระเบิดมาเพิ่มเติม และฐานที่มั่นแต่ละแห่งรบไปรบมาก็อยู่แต่กำลังกองทัพแดงเพียงกองเดียวนั้น  การรบประจำที่ไม่มีประโยชน์แก่เราโดยพื้นฐาน.  สำหรับเราแล้ว, การรบประจำที่ไม่เพียงแต่ใช้ไม่ได้โดยพื้นฐานในเวลารับเท่านั้น ถึงในเวลารุกก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน. 

          ข้อหนึ่งในลักษณะพิเศษที่เด่นชัดของการปฏิบัติการรบของกองทัพแดงอันเกิดจากการที่ข้าศึกเข้มแข็งและกองทัพแดงขัดสนและอ่อนทางเทคนิคนั้น ก็คือ ไม่มีแนวรบที่คงที่. 

           แนวรบของกองทัพแดงขึ้นอยู่กับทิศทางปฏิบัติการรบของกองทัพแดง. ทิศทางปฏิบัติการรบไม่คงที่ส่งผลสะเทือนให้แนวรบไม่คงที่.  แม้ว่าทิศทางใหญ่จะไม่เปลี่ยนแปลงในระยะเวลาหนึ่งก็ตาม แต่ทิศทางเล็กภายในทิศทางใหญ่นั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ เมื่อทิศทางหนึ่งถูกจำกัด เราก็ต้องเปลี่ยนไปสู่อีกทิศทางหนึ่ง.  เมื่อระยะเวลาหนึ่งให้หลัง ทิศทางใหญ่ก็ถูกจำกัด เราก็ต้องเปลี่ยนแปลงแม้กระทั่งทิศทางใหญ่นี้. 

           ในสมัยสงครามกลางเมืองปฏิวัติ แนวรบจะคงที่ไม่ได้  ถึงในสหภาพโซเวียตก็เคยมีสภาพเช่นนี้.  ข้อแตกต่างระหว่างกองทัพสหภาพโซเวียตกับกองทัพของเรานั้นอยู่ที่ระดับความไม่คงที่ของเขาไม่สูงเท่าของเรา.  สงครามทั้งปวงไม่อาจจะมีแนวรบที่คงที่อย่างสัมบูรณ์ได้ทั้งสิ้น ความเปลี่ยนแปลงของการชนะกับการแพ้ การรุกกับการถอยไม่อำนวยให้เป็นเช่นนั้น. แต่แนวรบที่คงที่อย่างสัมพัทธ์นั้นมักจะปรากฏในสงครามทั่วไป.  จะมีข้อยกเว้นก็แต่กองทัพที่ความแข็งอ่อนระหว่างข้าศึกกับตนเหลื่อมล้ำกันมาก ดังเช่นกองทัพแดงของจีนในขั้นปัจจุบันเท่านั้น. 

           ความไม่คงที่ของแนวรบส่งผลให้เกิดความไม่คงที่ของเขตแดงฐานที่มั่น.  บางเวลาใหญ่ บางเวลาเล็ก บางเวลาหด, บางเวลาขยาย ทั้งนี้เป็นเรื่องที่มีอยู่เป็นประจำ และสภาพที่ที่นี่ได้มา ที่นั่นเสียไปก็มักจะเกิดขึ้นเสมอ.  ลักษณะเคลื่อนที่ของเขตแดนเช่นนี้ ล้วนแต่เนื่องมาจากลักษณะเคลื่อนที่ของสงครามทั้งสิ้น. 

           ลักษณะเคลื่อนที่ของสงครามและเขตแดน ส่งผลให้งานสร้างสรรค์ต่าง ๆ ในฐานที่มั่นก็เกิดลักษณะเคลื่อนที่ไปด้วย.  โครงการสร้างสรรค์ระยะหลาย ๆ ปีนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะคาดคิดได้.  การเปลี่ยนแปลงโครงการบ่อย ๆ นั้นเป็นเรื่องปรกติธรรมดาสำหรับเรา. 

           การยอมรับลักษณะพิเศษข้อนี้เป็นประโยชน์แก่เรา.  พึงกำหนดระเบียบวาระการงานของเราโดยเริ่มต้นจากลักษณะพิเศษข้อนี้  อย่าได้เพ้อฝันถึงสงครามที่มีแต่การรุกไม่มีถอย อย่าได้ตระหนกตกใจในการเคลื่อนที่ชั่วคราวของเขตแดนและเขตหลังทางการทหาร  อย่าได้มุ่งที่จะวางโครงการรูปธรรมที่มีระยะเวลายาวนาน.  พึงปรับความคิดและการงานของเราให้เข้ากับสภาพการณ์ พร้อมที่จะนั่งลง  และก็พร้อมที่จะออกเดิน, อย่าได้ทิ้งไถ้เสบียงกรังไปเสีย.  มีแต่ใช้ความมานะพยายามในชีวิตที่เคลื่อนที่ในปัจจุบันเท่านั้น จึงจะสามารถช่วงชิงเอาความไม่ค่อยจะเคลื่อนที่ในอนาคตมาได้ จึงจะสามารถช่วงชิงเอาความแน่นอนในที่สุดมาได้. 

           สิ่งที่เรียกว่าเข็มมุ่งยุทธศาสตร์ “สงครามแบบแผน” ซึ่งครอบงำระยะต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๕ นั้นปฏิเสธลักษณะเคลื่อนที่ชนิดนี้  คัดค้านสิ่งที่เรียกว่า “ลัทธิจรยุทธ์”.  บรรดาสหายที่คัดค้านการเคลื่อนที่ได้ดำเนินงานโดยทำตัวประหนึ่งว่าเป็นผู้ครองอำนาจประเทศใหญ่ ผลสุดท้ายก็ได้มาซึ่งการเคลื่อนที่ครั้งใหญ่หลวงที่ผิดปรกติธรรมดา คือการเดินทัพทางไกล ๒๕,๐๐๐ ลี้  

           สาธารณรัฐประชาธิปไตยกรรมกรชาวนาของเราเป็นรัฐรัฐหนึ่ง แต่เวลานี้ยังเป็นรัฐที่ไม่สมบูรณ์.  เวลานี้เรายังอยู่ในระยะเป็นฝ่ายรับทางยุทธศาสตร์ของสงครามกลางเมือง อำนาจรัฐของเรายังห่างไกลจากรูปการรัฐที่สมบูรณ์อยู่มาก จำนวนพลและเทคนิคของกองทัพของเรายังด้อยกว่าของข้าศึกมากทีเดียว, เขตแดนของเรายังเล็กมาก ศัตรูของเราคิดอยู่ทุกขณะที่จะทำลายเราเสียให้หนำใจ.  การกำหนดเข็มมุ่งของเราจากข้อที่กล่าวมาข้างต้นนี้ มิใช่ว่าจะคัดค้านลัทธิจรยุทธ์โดยทั่วไป,  หากยอมรับลักษณะจรยุทธ์ของกองทัพแดงอย่างซื่อ ๆ.  ในที่นี้ความกระดากไม่มีประโยชน์อะไร.  ตรงกันข้าม ลักษณะจรยุทธ์เป็นลักษณะพิเศษของเราทีเดียว เป็นข้อเด่นของเราทีเดียว และก็เป็นเครื่องมือที่เรารบชนะข้าศึกทีเดียว.  เราควรจะเตรียมทิ้งลักษณะจรยุทธ์ แต่ทุกวันนี้ยังทิ้งไม่ได้. ในวันข้างหน้า ลักษณะจรยุทธ์จะเป็นสิ่งที่น่าละอายและจะต้องทิ้งไปเสียอย่างแน่นอน  แต่ทุกวันนี้มันกลับเป็นสิ่งที่ล้ำค่าและจะต้องยืนหยัดไว้. 

           “รบชนะได้ก็รบ รบชนะไม่ได้ก็จร”  นี่คือการอธิบายที่ใช้คำพูดง่าย ๆ สำหรับการรบเคลื่อนที่ของเราในทุกวันนี้.  ในโลกนี้ก็ไม่มีนักการทหารคนใดที่ยอมรับแต่การรบไม่ยอมรับการจร เพียงแต่ว่าไม่ได้จรอย่างหนักเหมือนพวกเราเท่านั้นเอง.  สำหรับพวกเรานั้น ตามปรกติเวลาจรมักจะมากกว่าเวลารบ, เฉลี่ยแล้วได้รบครั้งใหญ่สักเดือนละครั้งก็นับว่าดีแล้ว.  “การจร” ทุกครั้งล้วนแต่เพื่อ “การรบ” ทั้งสิ้น เข็มมุ่งทางยุทธศาตร์และทางการยุทธ์ทั้งปวงของเราล้วนแต่วางอยู่บนจุดพื้นฐานของ “การรบ” ทั้งนั้น.  แต่เบื้องหน้าของเรามีสภาพการณ์ที่ไม่เหมาะที่จะรบอยู่หลายชนิด: ชนิดที่ ๑ ข้าศึกที่อยู่เบื้องหน้ามีมา ไม่เหมาะที่จะรบ; ชนิดที่ ๒ ข้าศึกที่อยู่เบื้องหน้าแม้จะไม่มาก แต่ก็อยู่ใกล้ชิดอย่างยิ่งกับข้าศึกข้างเคียง บางครั้งก็ไม่เหมาะที่จะรบเหมือนกัน; ชนิดที่ ๓ กล่าวโดยทั่วไปแล้ว, ข้าศึกที่มิได้อยู่โดดเดี่ยวและมีที่มั่นอันแข็งแกร่งอย่างยิ่งนั้น, ล้วนแต่ไม่เหมาะที่จะรบทั้งนั้น; ชนิดที่ ๔ เมื่อรบแล้วไม่สามารถจะเอาให้แตกหักได้ ก็ไม่เหมาะที่จะรบต่อไป.  ในสภาพการณ์ดังกล่าวข้างต้น  เราก็พร้อมที่จะจร.  การจรเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยอมให้กระทำได้และเป็นสิ่งที่จำเป็น.  เพราะว่าการยอมรับการจรที่จำเป็นของเรานั้นอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ยอมรับการรบที่จำเป็นเป็นเบื้องแรก.  ลักษณะพิเศษพื้นฐานของการรบเคลื่อนที่ของกองทัพแดงก็อยู่ที่ตรงนี้นั่นเอง. 

           โดยพื้นฐานเป็นการรบเคลื่อนที่ แต่มิได้หมายความว่าจะปฏิเสธการรบประจำที่ที่จำเป็นและเป็นไปได้.  ในการรักษาจุดสำคัญทางด้านตรึงกำลังบางแห่งอย่างเหนียวแน่นในเวลารับทางยุทธศาสตร์  หรือการพบข้าศึกที่โดดเดี่ยวขาดการหนุนช่วยในเวลารุกทางยุทธศาสตร์นั้น  ก็ควรจะยอมรับการรับมือด้วยการรบประจำที่ทั้งนั้น.  ที่แล้วมาความจัดเจนที่ใช้การรบประจำที่เช่นนี้ไปเอาชนะข้าศึกนั้นเรามีอยู่แล้วไม่น้อย; เมือง, ป้อมปราการ และค่ายหมู่บ้านจำนวนมากได้ถูกเราตีแตก ที่มั่นสนามของข้าศึกที่สร้างไว้ดีพอสมควรก็ถูกเราทะลวงแตก.  ต่อไปยังจะต้องเพิ่มความพยายามในด้านนี้ ซ่อมจุดอ่อนของเราในด้านนี้ให้สมบูรณ์ขึ้น.  สมควรอย่างยิ่งที่เราจะส่งเสริมให้มีการโจมตีที่มั่นและการตั้งรับประจำที่ชนิดที่สภาพการณ์ต้องการและอำนวยให้.  ที่เราค้ดค้านนั้น ก็แต่เพียงการใช้การรบประจำที่โดยทั่ว ๆ ไปในเวลานี้  หรือการถือการรบประจำที่กับการรบเคลื่อนที่ในฐานะเท่าเทียมกันเท่านั้น  เหล่านี้ต่างหากที่เป็นสิ่งที่ยอมให้ไม่ได้. 

           ในระหว่างสงคราม ๑๐ ปี ลักษณะจรยุทธ์ของกองทัพแดง,การไม่มีแนวรบคงที่ ลักษณะเคลื่อนที่ของฐานที่มั่น และลักษณะเคลื่อนที่ของงานสร้างสรรค์ในฐานที่มั่น เหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อยกระนั้นหรือ?  มีการเปลี่ยนแปลง. ตั้งแต่สมัยจิ่งกังซานจนถึงก่อนหน้าการต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๑ ในกังไสเป็นขั้นแรก ในขั้นนี้ลักษณะจรยุทธ์และลักษณะเคลื่อนที่มีอยู่มากทีเดียว กองทัพแดงยังคงอยู่ในวัยเยาว์, ฐานที่มั่นยังเป็นเขตจรยุทธ์อยู่.  ตั้งแต่การต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๑ จนถึงการต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๓ เป็นขั้นที่สอง ในขั้นนี้ลักษณะจรยุทธ์และลักษณะเคลื่อนที่ได้ลดน้อยลงไปมาก กองทัพด้านได้ก่อตั้งขึ้นแล้ว ฐานที่มั่นที่มีพลเมืองหลายล้านคนได้มีขึ้นแล้ว.  ตั้งแต่ภายหลังการต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๓ จนถึงการต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๕ เป็นขั้นที่สาม ลักษณะจรยุทธ์และลักษณะเคลื่อนที่ยิ่งลดน้อยลงไปอีก.  รัฐบาลกลางและคณะกรรมการการทหารปฏิวัติได้ก่อตั้งขึ้นแล้ว.  การเดินทัพทางไกลเป็นขั้นที่สี่.  เนื่องจากปฏิเสธการจรยุทธ์ขนาดย่อมและการเคลื่อนที่ขนาดย่อมอย่างผิด ๆ จึงได้เกิดการจรยุทธ์ขนาดใหญ่และการเคลื่อนที่ขนาดใหญ่ขึ้น.  เวลานี้เป็นขั้นที่ห้า.  เนื่องจากมิได้ชนะ “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๕ และได้มีการเคลื่อนที่ขนาดใหญ่  กองทัพแดงและฐานที่มั่นจึงได้หดเล็กลงอย่างมากมาย  แต่ก็ได้ตั้งตัวติดอีกที่ภาคพายัพ  ได้เสริมความมั่นคงและขยายฐานที่มั่นเขตแดนต่อแดนส่านซี-กานซู่-หนิงเซี่ยออกไป.  กองทัพด้านทั้ง ๓ กองอันเป็นกำลังหลักของกองทัพแดงได้อยู่ภายใต้การบัญชาการที่เป็นเอกภาพ เรื่องนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลย. 

           โดยลักษณะทางยุทธศาสตร์แล้ว ก็กล่าวได้ว่า ตั้งแต่สมัยจิ่งกังซานจนถึงระยะต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๔ เป็นขั้นหนึ่ง ระยะต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๕ เป็นอีกขั้นหนึ่ง, ตั้งแต่เดินทัพทางไกลจนถึงเวลานี้เป็นขั้นที่ ๓.  เมื่อครั้งต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๕ คนบางส่วนได้ปฏิเสธเข็มมุ่งในอดีตซึ่งถูกต้องอยู่แล้วเสียอย่างผิด ๆ เวลานี้พวกเราก็ได้ปฏิเสธเข็มมุ่งที่ผิดพลาดของคนบางส่วนในระยะต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๕ นั้นไปอย่างถูกต้อง  และได้ฟื้นเข็มมุ่งอันถูกต้องในอดีตขึ้นมาอีก.  แต่มิใช่ว่าจะปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างในระยะต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๕ และก็มิใช่ว่าจะฟื้นทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตขึ้นมาอีก.  ที่ฟื้นขึ้นมานั้นคือสิ่งที่ดีงามในอดีต ที่ปฏิเสธนั้นคือสิ่งที่ผิดพลาดในระยะต้าน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๕. 

           ลัทธิจรยุทธ์มีอยู่ ๒ ด้าน.  ด้านหนึ่งคือลักษณะที่ไม่ใช่เป็นแบบแผน ซึ่งก็คือ ไม่รวมศูนย์ ไม่เป็นเอกภาพ วินัยไม่เข้มงวด วิธีการทำงานเป็นแบบง่าย ๆ ฯลฯ. สิ่งเหล่านี้ติดมาจากความเยาว์วัยของกองทัพแดง บางสิ่งบางอย่างก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องการในขณะนั้นทีเดียว.  แต่ครั้นถึงขั้นสูงของกองทัพแดง ก็จะต้องค่อย ๆ ขจัดสิ่งเหล่านั้นไปอย่างมีความสำนึก ทำให้กองทัพแดงรวมศูนย์ยิ่งขึ้น  เป็นเอกภาพยิ่งขึ้น มีวินัยยิ่งขึ้น การงานถี่ถ้วนรอบคอบยิ่งขึ้น ซึ่งก็คือทำให้มีลักษณะแบบแผนยิ่งขึ้น.  ในด้านบัญชาการรบก็ควรจะค่อย ๆ ลดลักษณะจรยุทธ์ที่ไม่จำเป็นในขั้นสูงให้น้อยลงอย่างมีความสำนึกเช่นกัน.  การปฏิเสธที่จะก้าวหน้าในด้านนี้ และการหยุดชะงักที่ขั้นเก่าอย่างดื้อรั้นนั้น เป็นสิ่งที่ยอมให้ไม่ได้ เป็นสิ่งที่ให้โทษ และไม่เป็นผลดีแก่การทำการรบขนาดใหญ่. 

           อีกด้านหนึ่งคือเข็มมุ่งการรบเคลื่อนที่  คือลักษณะจรยุทธ์ในการปฏิบัติการรบทางยุทธศาสตร์และการปฏิบัติการยุทธ์ซึ่งยังจำเป็นอยู่ในเวลานี้  คือลักษณะเคลื่อนที่ของฐานที่มั่นซึ่งไม่มีทางจะยับยั้งได้ คือลักษณะแปรเปลี่ยนอย่างพลิกแพลงของโครงการสร้างสรรค์ฐานที่มั่น คือความไม่ต้องการการแปรเป็นแบบประจำการที่ไม่เหมาะกับกาลเวลาในการสร้างกองทัพแดง.  ในด้านนี้การปฏิเสธข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ การคัดค้านการสงวนสิ่งที่มีประโยชน์ไว้ การเหินห่างจากขั้นปัจจุบันอย่างสุ่ม ๆ เพื่อวิ่งหลับหูหลับตาไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “ขั้นใหม่” ซึ่งมองเห็นแต่สุดเอื้อมและไม่มีความหมายทางความเป็นจริงในขณะนี้นั้น ก็เป็นสิ่งที่ยอมให้ไม่ได้ เป็นสิ่งที่ให้โทษ และไม่เป็นผลดีแก่การรบในขณะนี้เหมือนกัน. 

           เวลานี้เรากำลังอยู่ในคืนก่อนขั้นใหม่ที่ถัดไปของเทคนิคและการจัดตั้งของกองทัพแดง.  เราควรจะเตรียมเปลี่ยนไปสู่ขั้นใหม่.  การไม่ตระเตรียมเช่นนี้ย่อมไม่ถูก และไม่เป็นผลดีแก่การรบในอนาคต.  ในวันข้างหน้า เมื่อเงื่อนไขทางเทคนิคและทางการจัดตั้งของกองทัพแดงได้เปลี่ยนแปลงไป และการสร้างกองทัพแดงได้เข้าสู่ขั้นใหม่แล้ว ความค่อนข้างคงที่ของทิศทางปฏิบัติการรบและแนวรบของกองทัพแดงก็จะปรากฏออกมา; การรบประจำที่ก็จะเพิ่มมากขึ้น; ลักษณะเคลื่อนที่ของสงคราม ลักษณะเคลื่อนที่ของเขตแดนและของการสร้างสรรค์ก็จะลดน้อยลงอย่างมากมาย  และในที่สุดก็จะสูญสิ้นไป; สิ่งที่จำกัดเราอยู่ในเวลานี้ ดังเช่น ข้าศึกที่เหนือกว่าและที่มั่นแข็งแกร่งที่ข้าศึกตั้งรับอยู่นั้น ก็จะไม่สามารถจำกัดเราได้. 

           ปัจจุบัน ด้านหนึ่งเราคัดค้านวิธีการที่ผิดพลาดในสมัยที่ลัทธิฉวยโอกาสเอียง “ซ้าย” ครอบงำอยู่  อีกด้านหนึ่งก็คัดค้านการฟื้นลักษณะที่ไม่ใช่เป็นแบบแผนหลายอย่างของกองทัพแดงในวัยเยาว์ซึ่งไม่จำเป็นในเวลานี้ขึ้นมา  แต่เราต้องฟื้นฟูหลักการสร้างกองทัพและหลักการยุทธศาสตร์ยุทธวิธีอันล้ำค่าเป็นอันมากที่กองทัพแดงใช้ไปรบชนะตลอดมานั้นอย่างเด็ดเดี่ยว.  เราต้องสรุปบรรดาสิ่งที่ดีงามในอดีตทั้งหมดขึ้นเป็นแนวทางการทหารที่เป็นระบบ ที่พัฒนายิ่งขึ้นและที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น, เพื่อช่วงชิงให้ได้ชนะข้าศึกในปัจจุบัน และเตรียมไปสู่ขั้นใหม่ในอนาคต. 

           ในด้านดำเนินการรบเคลื่อนที่นั้น มีปัญหาอยู่มากมาย เป็นต้นว่า การสอดแนม การวินิจฉัย การตัดสินใจ การจัดวางกำลังรบ การบัญชาการ การกำบัง การรวมศูนย์ การเคลื่อนเข้าหา, การขยายแนว การโจมตี การตามตี การจู่โจม การโจมตีที่มั่น, การตั้งรับประจำที่ การรบปะทะ การถอย การรบเวลากลางคืน, การรบชนิดพิเศษ การเลี่ยงแข็งกินอ่อน การล้อมเมืองตีกำลังหนุน การเข้าตีลวง การป้องกันภัยทางอากาศ การรบเมื่อตกอยู่ในระหว่างข้าศึกหลายกอง การรบโดยอ้อมผ่านข้าศึก การรบต่อเนื่อง การรบที่ปราศจากเขตหลัง ความจำเป็นในการสะสมกำลังบำรุงขวัญ ฯลฯ.  ปัญหาเหล่านี้ล้วนแต่แสดงถึงลักษณะพิเศษมากมายไว้ในประวัติการสงครามของกองทัพแดง ซึ่งในวิชาการยุทธ์ควรจะได้บรรยายไว้อย่างเป็นระเบียบ  ควรจะได้ทำข้อสรุปไว้ ข้าพเจ้าจะไม่ขอกล่าวในที่นี้.