หมายเหตุ
๑. จินตภาพของคำว่า “ความเป็นจริง” นี้ ตามอักษรจีนมีความหมาย ๒ นัย คือ นัยหนึ่งหมายถึงสภาพที่แท้จริง อีกนัยหนึ่งหมาย
ถึงการกระทำของคนเรา (ซึ่งก็คือ การปฏบัติที่คนทั่ว ๆ ไปกล่าวกัน). ในนิพนธ์ของสหายเหมาเจ๋อตุง การใช้จินตภาพของคำ
ๆ นี้มักจะมีความหมายทั้ง ๒ นัยเสมอ.
๒. ซุนหวูจื่อ หรือซุนหวู่ นักวิชาการทหารมีชื่อของจีนในสมัยก่อนคริสต์ศักราช ๕ ศตวรรษ ได้เขียนเรื่อง “ซุนจื่อ” ไว้ ๑๓ บท.
คำที่ยกมาอ้างในนิพนธ์เรื่องนี้ดูได้จาก “ซุนจื่อ” บทที่ ๓ “กลรุก”.
๓. ตั้งแต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี ๑๙๒๑ จนถึงเวลาที่สหายเหมาเจ๋อตุงนิพนธ์เรื่องนี้เมื่อปี ๑๙๓๖
เป็นเวลาครบรอบ ๑๕ ปีพอดี.
๔. เฉินตู๋ซิ่ว เดิมเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง มีชื่อขึ้นเพราะเป็นบรรณาธิการนิตยสาร “เยาวชนใหม่”. เฉินตู๋ซิ่วเป็นคน
หนึ่งในบรรดาผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน เนื่องจากชื่อเสียงของเขาในสมัยการเคลื่อนไหว ๔ พฤษภาคมและความอ่อนหัด
ของพรรคในสมัยแรกตั้ง เขาจึงได้เป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรค. ในระยะหลังสุดของการปฏิวัติปี ๑๙๒๔ ถึงปี ๑๙๒๗ ความ
คิดเอียงขวาภายในพรรคซึ่งมีเฉินตู๋ซิ่วเป็นตัวแทนนั้น, ได้ก่อรูปขึ้นเป็นแนวทางลัทธิยอมจำนน. ในเวลานั้น “พวกลัทธิยอม
จำนนได้สมัครใจละทิ้งอำนาจการนำที่มีต่อมวลชนชาวนา ชนชั้นนายทุนน้อยในเมืองและชนชั้นนายทุนกลาง โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งละทิ้งอำนาจการนำที่มีต่อกองกำลังอาวุธ ทำให้การปฏิวัติครั้งนั้นต้องประสบความพ่ายแพ้” (“สถานการณ์ปัจจุบันและภาระ
หน้าที่ของเรา” โดยเหมาเจ๋อตุง). ภายหลังที่การปฏิวัติได้พ่ายแพ้ไปในปี ๑๙๒๗ แล้ว เฉินตู๋ซิ่วและพวกลัทธิยอมจำนนคนอื่น
ๆ จำนวนน้อยเกิดท้อแท้ผิดหวังในอนาคตของการปฏิวัติ, กลายเป็นพวกลัทธิยุบเลิกไป พวกนี้ได้ใช้จุดยืนปฏิกิริยาของลัทธิ
ทรอตสกี้, และได้ตั้งกลุ่มย่อยที่แอนตี้พรรคขึ้นโดยประสานกันกับพวกทรอตสกี้ ดังนั้นจึงถูกไล่ออกจากพรรคเมื่อเดือน
พฤศจิกายน ปี ๑๙๒๙. เฉินตู๋ซิ่วตายเมื่อปี ๑๙๔๒. เกี่ยวกับลัทธิฉวยโอกาสเอียงขวาของเฉินตู๋ซิ่ว โปรดดูหมายเหตุอธิบาย
หัวเรื่องของเรื่อง “การวิเคราะห์ชนชั้นต่าง ๆ ในสังคมจีน” และเรื่อง “รายงานสำรวจการเคลื่อนไหวชาวนาในมณฑลหูหนาน”
ใน “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” เล่ม ๑ และเรื่อง “ปฐมฤกษ์แถลงของนิตยสาร ‘ชาวพรรคคอมมิวนิสต์’ ” ใน “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อ
ตุง” เล่ม ๒ ประกอบ.
๕. ลัทธิฉวยโอกาสเอียง “ซ้าย” ของหลี่ลี่ซาน หมายถึงแนวทางลัทธิฉวยโอกาสเอียง “ซ้าย” ที่มีสหายหลี่ลี่ซานผู้นำคนสำคัญ
ของศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนในขณะนั้นเป็นตัวแทนในช่วงเวลาประมาณ ๔ เดือนภายหลังเดือนมิถุนายน ปี ๑๙๓๐ เรียก
กันทั่วไปว่า “แนวทางหลี่ลี่ซาน”. ลักษณะพิเศษของแนวทางหลี่ลี่ซานก็คือ ฝ่าฝืนเข็มมุ่งของสมัชชาผู้แทนพรรคทั่วประเทศ
ครั้งที่ ๖ ปฏิเสธข้อที่ว่าการปฏิวัติจำเป็นต้องตระเตรียมกำลังของมวลชน และปฏิเสธความไม่สม่ำเสมอของการคลี่คลายขยาย
ตัวของการปฏิวัติ เห็นว่าความคิดของสหายเหมาเจ๋อตุงที่ให้เพ่งความสนใจส่วนใหญ่ไปในการสร้างสรรค์ฐานที่มั่นในชนบทใน
ระยะเวลาอันยาวนาน, เอาชนบทล้อมเมือง ใช้ฐานที่มั่นมาผลักดันการปฏิวัติทั่วประเทศให้ขึ้นสู่กระแสสูงนั้น เป็นสิ่งที่เรียกว่า
“ความคิดท้องถิ่นและความคิดอนุรักษ์อันเป็นจิตสำนึกของชาวนา” “ซึ่งผิดพลาดอย่างยิ่ง” และถือความคิดเห็นว่าตามที่ต่าง ๆ
ทั่วประเทศจะต้องตระเตรียมการลุกขึ้นสู้ทันที. ภายใต้แนวทางที่ผิดพลาดชนิดนี้ สหายหลี่ลี่ซานได้กำหนดแผนการเสี่ยงภัยที่
ให้จัดตั้งการลุกขึ้นสู้ด้วยกำลังอาวุธในเมืองศูนย์กลางต่าง ๆ ทั่วประเทศทันที. ในขณะเดียวกัน แนวทางหลี่ลี่ซานก็ไม่ยอมรับ
ความไม่สม่ำเสมอของการปฏิวัติของโลก เห็นว่าการระเบิดขึ้นทั่วไปของการปฏิวัติของจีนจะก่อให้การปฏิวัติของโลกระเบิดขึ้น
ทั่วไปอย่างแน่นอน และการปฏิวัติของจีนจะสำเร็จได้ก็แต่ในท่ามกลางการระเบิดขึ้นทั่วไปของการปฏิวัติของโลกเท่านั้น;
และก็ไม่ยอมรับลักษณะยาวนานของการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนของจีน เห็นว่าการเริ่มได้รับชัยชนะในมณฑลหนึ่ง
หรือหลายมณฑลก่อนนั่นแหละคือการเริ่มต้นของการดำเนินการเปลี่ยนไปสู่สังคมนิยม, และด้วยเหตุนี้จึงได้กำหนดนโยบาย
เสี่ยงภัยเอียง “ซ้าย” บางประการที่ไม่เหมาะกับกาลเวลาขึ้น. สหายเหมาเจ๋อตุงได้คัดค้านแนวทางที่ผิดพลาดนี้, ผู้ปฏิบัติงาน
และสมาชิกพรรคอันไพศาลทั่วทั้งพรรคก็เรียกร้องต้องการให้แก้ไขแนวทางนี้. สหายหลี่ลี่ซานเองก็ยอมรับความผิดพลาดที่
ถูกชี้ออกมาในเวลานั้นในที่ประชุมเต็มคณะของคณะกรรมการกลางพรรคสมัยที่ ๓ ชุดที่ ๖ เมื่อเดือนกันยายน ปี ๑๙๓๐ ต่อ
จากนั้นก็ได้พ้นจากฐานะนำในศูนย์กลาง. เนื่องจากสหายหลี่ลี่ซานได้แก้ไขทรรศนะที่ผิดพลาดของตนในเวลาอันยาวนาน
ฉะนั้น สมัชชาผู้แทนพรรคทั่วประเทศครั้งที่ ๗ จึงได้เลือกเขาเป็นกรรมการในคณะกรรมการกลางอีก.
๖. ที่ประชุมเต็มคณะของคณะกรรมการกลางพรรคสมัยที่ ๓ ชุดที่ ๖ ซึ่งเปิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ปี ๑๙๓๐ และศูนย์กลางพรรค
สมัยหลังการประชุมนี้ ได้ดำเนินมาตรการที่มีบทบาทเป็นคุณหลายอย่างต่อการยุติแนวทางหลี่ลี่ซาน. แต่หลังการประชุมเต็ม
คณะของคณะกรรมการกลางพรรคสมัยที่ ๓ ชุดที่ ๖ แล้ว สหายในพรรคส่วนหนึ่งที่ไม่มีความจัดเจนในการต่อสู้ปฏิวัติที่เป็นจริง
ซึ่งมีเฉินเซ่าหยี่ (หวางหมิง) และฉินปังเซี่ยน (ป๋อกู่) เป็นหัวหน้า กลับลุกขึ้นต่อต้านมาตรการของศูนย์กลาง. ในหนังสือเล่ม
เล็กที่ให้ชื่อว่า “แนวทางสองแนว” หรือ “ต่อสู้เพื่อการแปรเป็นแบบบอลเชวิคยิ่งขึ้นของพรรคคอมมิวนิสต์จีน” ซึ่งตีพิมพ์ใน
เวลานั้น พวกเขาได้ประกาศเน้นหนักเป็นพิเศษว่า อันตรายที่สำคัญภายในพรรคเวลานั้นไม่ใช่ลัทธิฉวยโอกาสเอียง “ซ้าย”
หากเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ลัทธิฉวยโอกาสเอียงขวา” ถือเอาการ “วิจารณ์” แนวทางหลี่ลี่ซานว่า “ขวา” เป็นทุนในการเคลื่อนไหว
ของพวกเขา. พวกเขาได้เสนอหลักนโยบายการเมืองใหม่ที่สืบต่อ ฟื้นฟู หรือขยายแนวทางหลี่ลี่ซานกับความคิดเอียง “ซ้าย”
และนโยบายเอียง “ซ้าย” อื่น ๆ ภายใต้รูปการใหม่ขึ้น เป็นปรปักษ์กับแนวทางที่ถูกต้องของสหายเหมาเจ๋อตุง. นิพนธ์เรื่อง
“ปัญหายุทธศาสตร์ในสงครามปฏิวัติของจีน” ของสหายเหมาเจ๋อตุง เขียนขึ้นเพื่อวิพากษ์ความผิดพลาดในด้านการทหารของ
แนวทางลัทธิฉวยโอกาสเอียง “ซ้าย” ใหม่นี้เป็นสำคัญ. การครอบงำของแนวทางผิดพลาดเอียง “ซ้าย” ใหม่ภายในพรรคนี้
ได้เริ่มตั้งแต่การประชุมเต็มคณะของคณะกรรมการกลางพรคสมัยที่ ๔ ชุดที่ ๖ ในเดือนมกราคม ปี ๑๙๓๑ ไปสิ้นสุดลงเมื่อ
ศูนย์กลางพรรคได้เรียกประชุมกรมการเมืองที่จุนยี่ มณฑลกุยจิ๋ว ยุติการนำของแนวทางที่ผิดพลาดนี้และเริ่มต้นการนำใหม่
ของศูนย์กลางที่มีสหายเหมาเจ๋อตุงเป็นหัวหน้าในเดือนมกราคม ปี ๑๙๓๕. แนวทางผิดพลาดเอียง “ซ้าย” ครั้งนี้ได้ครอบงำอยู่
ในพรรคนานเป็นพิเศษ (๔ ปี) ได้ทำความเสียหายให้แก่พรรคและการปฏิวัติอย่างหนักเป็นพิเศษ ผลร้ายของมันก็คือ พรรค
คอมมิวนิสต์จีน กองทัพแดงของจีนและฐานที่มั่นของกองทัพแดงได้เสียหายไปประมาณร้อยละ ๙๐ ทำให้ประชาชนในฐานที่
มั่นปฏิวัติหลายสิบล้านคนถูกก๊กมินตั๋งเหยียบย่ำทำลาย, ทำให้การขยายตัวคืบหน้าของการปฏิวัติของจีนต้องล่าช้าลง. สหาย
ที่เคยทำความผิดพลาดในแนวทางเอียง “ซ้าย” นี้ เมื่อได้ผ่านการสังเกตศึกษาเป็นเวลายาวนาน ส่วนใหญ่ที่สุดก็ได้เข้าใจและ
ได้แก้ความผิดพลาดของตนไปแล้ว ทั้งยังได้ทำงานที่เป็นประโยชน์แก่พรรคและประชาชนอย่างมากมายด้วย. บนพื้นฐาน
ของความรับรู้ทางการเมืองร่วมกัน และภายใต้การนำของสหายเหมาเจ๋อตุง สหายเหล่านี้ก็ได้สามัคคีกันกับสหายอื่น ๆ อัน
ไพศาล.
๗. โปรดอ่านประกอบจากหมายเหตุ ๒๑ และ ๒๒ ของเรื่อง “ว่าด้วยยุทธวิธีคัดค้านจักรพรรดินิยมญี่ปุ่น”.
๘. กองฝึกอบรมนายทหารที่หลูซานเป็นองค์การจัดตั้งที่เจียงไคเช็คใช้ฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานการทหารที่แอนตี้คอมมิวนิสต์ ตั้งขึ้น
เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี ๑๙๓๓ ที่หลูซาน อำเภอจิ่วเจียง มณฑลกังไส. นายทหารของเจียงไคเช็คถูกเรียกเป็นรุ่น ๆ เข้ารับการ
ฝึกอบรมทางการทหารและทางการเมืองแบบฟัสซิสต์จากผู้ฝึกสอนวิชาการทหารชาวเยอรมัน อิตาลี และอเมริกัน.
๙. หลักการใหม่ทางการทหารใน “การล้อมปราบ” ครั้งที่ ๕ ที่กล่าวถึงในที่นี้ ที่สำคัญนั้นหมายถึง “นโยบายป้อมค่าย” ของพวก
โจรเจียงไคเช็คที่รุกคืบหน้าด้วยการตั้งป้อมและตั้งค่ายเข้ามาทุก ๆ ก้าว.
๑๐. ดู “สรรนิพนธ์เลนิน” เล่ม ๓๑ เรื่อง “ลัทธิคอมมิวนิสต์”. ในนิพนธ์เรื่องนี้ เลนินได้วิจารณ์เบลา กุน สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์
ฮังการีว่า “เขาได้ทิ้งสิ่งที่เป็นธาตุแท้ที่สุดของลัทธิมาร์กซ วิญญาณอันมีชีวิตของลัทธิมาร์กซ นั่นคือ การวิเคราะห์สภาพการณ์
รูปธรรมอย่างเป็นรูปธรรม”.
๑๑. สมัชชาผู้แทนพรรคเขตแดนต่อแดนหูหนาน-กังไส ครั้งที่ ๑ คือสมัชชาผู้แทนครั้งที่ ๑ ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์เขตแดนต่อแดน
หูหนาน-กังไสได้เรียกประชุมขึ้นมาที่เหมาผิง อำเภอหนิงกัง เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๑๙๒๘.
๑๒. ดูหมายเหตุ ๒ และหมายเหตุ ๓ ของเรื่อง “เกี่ยวกับการแก้ความคิดที่ผิดภายในพรรค” ในนิพนธ์เล่มนี้.
๑๓. “ลัทธิโจร” หมายถึงพฤติกรรมแย่งชิงปล้นสะดมอันไม่มีวินัย ไม่มีการจัดตั้ง และไม่มีจุดหมายทางการเมืองที่แจ่มชัด.
๑๔. หมายถึงการเดินทัพทางไกล ๒๕,๐๐๐ ลี้ ของกองทัพแดงจากกังไสไปสู่ภาคเหนือส่านซี. ดูหมายเหตุ ๒๐ ของเรื่อง “ว่าด้วย
ยุทธวิธีคัดค้านจักรพรรดินิยมญี่ปุ่น”.
๑๕. “ทัพรอง” คือกองทหารที่ไม่ใช่กองกำลังหลัก เป็นเพียงกองทหารส่วนที่รับหน้าที่เป็นปีกเท่านั้น.
๑๖. หมายถึงภายหลังที่การลุกขึ้นสู้เดือนธันวาคม ปี ๑๙๐๕ ของรัสเซียพ่ายแพ้ไปแล้ว การปฏิวัติได้เปลี่ยนจากระบบที่ขึ้นสู่
กระแสสูงไปสู่ระยะที่ค่อย ๆ ลดต่ำลง. โปรดอ่าน “แบบเรียนประวัติพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (บอลเชวิค) ฉบับ
สังเขป” บทที่ ๓ ตอนที่ ๕ และตอนที่ ๖ ประกอบ.
๑๗. สนธิสัญญาเบรสต์-ลิตอฟสค์เป็นสนธิสัญญาสันติภาพที่โซเวียตรัสเซียทำกับเยอรมันเมื่อเดือนมีนาคม ปี ๑๙๑๘. ในสภาพที่
กำลังของศัตรูเหนือกว่ากำลังปฏิวัติอย่างเด่นชัดในเวลานั้น การทำสนธิสัญญาสันติภาพนี้เป็นการถอยชั่วคราวที่ใช้เพื่อให้
สาธารณรัฐโซเวียตซึ่งเพิ่งสถาปนาขึ้นใหม่และยังไม่มีกองทัพของตนเอง ไม่ถูกจักรพรรดิเยอรมันโจมตีเอา. ทั้งนี้ทำให้
สาธารณรัฐโซเวียตได้เวลาที่จะไปเสริมความมั่นคงแก่อำนาจรัฐของชนชั้นกรรมาชีพ จัดสรรเศรษฐกิจ สร้างกองทัพแดง;
ทำให้ชนชั้นกรรมาชีพรักษาการนำที่มีต่อชาวนาไว้ได้และสะสมกำลังของตนขึ้น จนสามารถตีกองทัพขาวและผู้แทรกแซง
ด้วยกำลังอาวุธประเทศต่าง ๆ เช่นอังกฤษ, อเมริกา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น โปแลนด์เป็นต้น ให้แตกกระเจิงไปในระหว่างปี ๑๙๑๘ ถึง
ปี ๑๙๒๐.
๑๘. เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๑๙๒๗ ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชาวนาที่อำเภอไห่เฟิง-ลู่เฟิง มณฑลกวางตุ้ง ได้ก่อการ
ลุกขึ้นสู้ครั้งที่ ๓ เข้ายึดไห่เฟิง-ลู่เฟิง และเขตใกล้เคียงไว้ได้ และได้จัดตั้งกองทัพแดง สถาปนาอำนาจรัฐประชาธิปไตย
กรรมกรชาวนาขึ้น. ต่อมาได้พ่ายแพ้ไปเพราะเกิดความผิดพลาดที่ประมาทข้าศึก.
๑๙. ภายหลังที่กองทัพแดงด้านที่ ๔ กับกองทัพแดงด้านที่ ๒ ได้บรรจบกันเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปี ๑๙๓๖ แล้ว ก็ได้ออกจากภาคตะวัน
ออกเฉียงเหนือซีคัง เคลื่อนย้ายขึ้นไปทางเหนือ. ขณะนั้นจางกว๋อเถายังคงยืนกรานแอนตี้พรรค ยืนกรานในลัทธิล่าถอยและ
ลัทธิยุบเลิกของเขาซึ่งมีอยู่ตลอดมา. เมื่อเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ภายหลังที่กองทัพแดงด้านที่ ๒ และด้านที่ ๔ มาถึงมณฑล
กานซู่แล้ว จางกว๋อเถาได้มีคำสั่งให้หน่วยกองหน้า ๒ หมื่นกว่าคนของกองทัพแดงด้านที่ ๔ จัดตั้งเป็นกองทัพสายตะวันตก
ยกข้ามแม่น้ำเหลืองไปทางตะวันตกมู่งสู่ชิงไห่. เมื่อเดือนธันวาคม ปี ๑๙๓๖ กองทัพสายตะวันตกถูกโจมตีในการรบและพ่าย
แพ้ไปโดยพื้นฐาน จนเดือนมีนาคม ปี ๑๙๓๗ ก็พ่ายแพ้ไปโดยสิ้นเชิง.
๒๐. ดูจดหมายของมาร์กซที่มีถึงคูเกลมานานว่าด้วยคอมมูนปารีส.
๒๑. “สุยหู่จ้วน” (หรือ “ซ้องกั๋ง”) เป็นนวนิยายลือชื่อของจีนที่บรรยายถึงสงครามชาวนา เล่าสืบต่อกันมาว่า ซื่อไน่อานคนสมัย
ปลายราชวงศ์หงวนต้นราชวงศ์เหม็งในศตวรรษที่ ๑๔ เป็นผู้แต่ง. หลินชุงและไฉจิ้นเป็นตัววีรบุรุษในนิยายเรื่องนี้. ครูหุงเป็น
ครูมวยคนหนึ่งในบ้านไฉจิ้น.
๒๒. แคว้นหลู่และแคว้นฉีเป็นรัฐศักดินา ๒ รัฐในสมัยชุนชิวของจีน (ก่อนคริสต์ศักราช ๗๒๒-๘๔๑ ปี) ฉีเป็นแคว้นใหญ่ อยู่ใน
ภาคกลางมณฑลซานตุงเวลานี้; หลู่เป็นแคว้นเล็กกว่า อยู่ในภาคใต้มณฑลซานตุงเวลานี้. หลู่จวงกุงเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นหลู่
ในสมัยก่อนคริสต์ศักราช ๖๙๓-๖๖๒ ปี.
๒๓. จ่อชิวหมิง ผู้ประพันธ์เรื่อง “จ่อจ้วน” จดหมายเหตุอันลือชื่อในสมัยราชวงศ์โจวของจีน. ข้อความตอนที่นิพนธ์เรื่องนี้อ้างถึงดู
ได้จากตอนจวงกุงศก ๑๐ ใน “จ่อจ้วน”.
๒๔. เมืองเก่าเฉิงเกาอยู่ตอนตะวันตกเฉียงเหนือของอำเภอเฉิงเกา มณฑลเหอหนานเวลานี้ เป็นชัยภูมิที่สำคัญทางการทหารใน
สมัยโบราณ. เมื่อก่อนคริสต์ศักราช ๒๐๓ ปี หลิวปังกษัตริย์ฮั่นกับเซี่ยงหยี่กษัตริย์ฉู่ (หรือฌ้อปาอ๋อง) เคยรบตรึงกันที่นี่.
เวลานั้นเซี่ยงหยี่ตีเมืองสิงหยาง เฉิงเกา ได้ติด ๆ กัน กองทัพหลิวปังแตกกระเจิดกระเจิงจนแทบจะไม่เป็นขบวน. แต่ต่อมา
หลิวปังได้รอจนถึงโอกาสที่กองทัพฉู่ข้ามแม่น้ำซื่อสุ่ยไปถึงกลางน้ำ ก็ตีกองทัพฉู่แตกยับเยินและชิงเมืองเฉิงเกาคืนไปได้.
๒๕. เมืองเก่าคุนหยางอยู่ในเขตอำเภอเย่เซี่ยน มณฑลเหอหนาน เวลานี้. เมื่อ ค.ศ.๒๓ หลิวซิ่ว (พระเจ้ากวางหวู่แห่งราชวงศ์ตุง
ฮั่น) ได้ตีกองทหารอองมั่งแตกที่นี่. สงครามครั้งนี้กำลังทหารสองฝ่ายแข็งอ่อนเหลื่อมล้ำกันมาก ฝ่ายหลิวซิ่วมีเพียงแปดเก้า
พัน ฝ่ายอองมั่งมีถึง ๔ แสนเศษ. หลิวซิ่วได้ใช้ประโยชน์จากความประมาทข้าศึกและความเฉื่อยเนือยไม่สนใจในการรบของ
หวางสินและหวางอี้ขุนพลของอองมั่ง ส่งทหารฝีมือเยี่ยม ๓ พันเข้าทะลวงกำลังส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของกองทัพอองมั่งแตก
แล้วถือโอกาสที่ทหารของตนกำลังฮึกเหิมเข้าโจมตีกองทัพข้าศึกแตกยับเยินไป.
๒๖. กวานตู้อยู่ตอนตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอจุงโหมว มณฑลเหอหนานเวลานี้. เมื่อ ค.ศ. ๒๐๐ กองทัพของโจโฉกับอ้วน
เสี้ยวรบกันที่นี่. ขณะนั้นอ้วนเสี้ยวมีทหาร ๑ แสน ส่วนโจโฉทหารน้อยและเสบียงก็หมด. แต่โจโฉได้ใช้ประโยชน์จากความ
ประมาทข้าศึกและการไม่เตรียมพร้อมของกองทัพอ้วนเสี้ยว แต่งทหารติดอาวุธเบาลอบจู่โจมเข้าเผายานพาหนะและยุทธ
สัมภาระของกองทัพอ้วนเสี้ยว. พอกองทัพอ้วนเสี้ยวแตกตื่นระส่ำระสาย กองทัพโจโฉก็ยกออกขยี้ทัพหลวงของอ้วนเสี้ยว
ย่อยยับไป.
๒๗. แคว้นหวูหมายถึงฝ่ายซุนกวน แคว้นเว่ยหมายถึงฝ่ายโจโฉ. ฉื้อปี้อยู่ฝั่งใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงตอนตะวันออกเฉียงเหนือของ
อำเภอเจียหยี มณฑลหูเป่ย. เมื่อ ค.ศ. ๒๐๘ โจโฉยกทหาร ๕ แสนเศษ โดยประกาศว่ามีพล ๘ แสน เข้าตีซุนกวน. ฝ่ายซุน
กวนได้ร่วมกับเล่าปี่ศัตรูของโจโฉยกทหาร ๓ หมื่นเข้ารับศึก ทั้งสองได้ทีที่เกิดโรคระบาดขึ้นในกองทัพโจโฉ, ประกอบกับ
กองทัพโจโฉไม่ชินกับการรบทางน้ำ จึงเอาไฟเผาเรือกองทัพโจโฉ ตีกองทัพโจโฉแตกยับเยินไป.
๒๘. หยี่หลิงอยู่ตอนตะวันออกของอำเภอหยีชาง มณฑลหูเป่ยเวลานี้. เมื่อ ค.ศ. ๒๒๒ ลกซุนขุนพลแคว้นหวูได้ตีกองทัพเล่าปี่ผู้
ครองแคว้นสู่แตกยับเยินที่นี่. กองทัพเล่าปี่รบชนะเรื่อยมาตั้งแต่ต้นในสงครามนี้ ครั้นยกเข้าหยีหลิงก็ล้ำเข้าไปในแดนของ
แคว้นหวูประมาณห้าหกร้อยลี้. ลกซุนตั้งรักษาที่มั่นไม่ออกรบเป็นเวลาเจ็ดแปดเดือน คอยจนฝ่ายเล่าปี่ “ทหารอิดโรยขวัญ
เสื่อมทรุด คิดกลศึกไม่ออกอีก” แล้ว จึงจุดเพลิงเผาขึ้นทางต้นลม ตีกองทัพเล่าปี่แตกยับเยินไป.
๒๙. เมื่อ ค.ศ. ๓๘๓ เซ่เสียนขุนพลตุงจิ้นตีกองทัพของฝูเจียนเจ้าผู้ครองแคว้นฉินแตกที่แม่น้ำเฝยสุ่ยมณฑลอันฮุย. เวลานั้น ฝู
เจียนมีทหารเดินเท้า ๖ แสนเศษ ทหารม้า ๒ แสน ๗ หมื่น กองรักษาการณ์ทหารม้า ๓ หมื่นเศษ, ฝ่ายตุงจิ้นมีทัพบกทัพเรือ
เพียง ๘ หมื่น. ในขณะที่กองทัพสองฝ่ายตั้งประจัญกันคนละฟากฝั่งที่แม่น้ำเฝยสุ่ยนั้น แม่ทัพแคว้นจิ้นได้อาศัยความทะนง
ตนถือดีของข้าศึก เรียกร้องให้กองทัพฉินที่อยู่ฝั่งเหนือของแม่น้ำเฝยสุ่ยถอยร่นพ้นฝั่งเข้าไปให้มีที่สำหรับรบกัน เพื่อกองทัพ
จิ้นจะได้ข้ามน้ำไปทำศึกแตกหัก. กองทัพฉินก็ยอมให้จริง ๆ แต่พอถอยเข้าก็ไม่สามารถยับยั้งได้ กองทัพจิ้นได้ทีก็ยกข้าม
แม่น้ำไปแล้วเข้าโจมตีทันที กองทัพฉินจึงถูกตีแตกพ่ายยับเยิน.
๓๐. วันที่ ๑ สิงหาคม ๑๙๒๗ พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้นำการลุกขึ้นสู้อันลือชื่อขึ้นที่หนานชางเมืองเอกมณฑลกังไส เพื่อคัดค้าน
การเป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติของเจียงไคเช็คและวังจิงไว และดำเนินภารกิจปฏิวัติปี ๑๙๒๔ ถึงปี ๑๙๒๗ ต่อไป. ผู้ที่เข้าร่วมการลุก
ขึ้นสู้ครั้งนี้มีกองทหารที่ติดอาวุธ ๓ หมื่นกว่าคน, ผู้ทำหน้าที่นำมีสหายโจวเอินไหล จูเต๋อ เฮ่อหลุงและเย่ถิ่ง. กองทัพลุกขึ้นสู้
ถอยออกจากหนานชางเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ตามแผนการที่วางไว้แต่เดิม เมื่อยกเข้าแต้จิ๋วและซัวเถาในมณฑลกวางตุ้ง ก็ถูก
ตีพ่ายไป. ต่อมาส่วนหนึ่งของกองทัพลุกขึ้นสู้ซึ่งนำโดยสหายจูเต๋อ เฉินยี่และหลินเปียว ได้เวียนรบไปถึงเขาจิ่งกังซาน แล้ว
บรรจบกับกองทัพปฏิวัติกรรมกรชาวนากองทัพที่ ๑ กองพลที่ ๑ ซึ่งนำโดยสหายเหมาเจ๋อตุง.
๓๑. ดูหมายเหตุ ๘ ของเรื่อง “เหตุใดอำนาจรัฐแดงของจีนจึงดำรงอยู่ได้?” ในนิพนธ์เล่มนี้.
๓๒. กลุ่ม เอ.บี. เป็นองค์การสายลับปฏิปักษ์ปฏิวัติของพวก๊กมินตั๋งที่ซ่อนเร้นอยู่ในบริเวณเขตแดงเวลานั้น. เอ.บี. เป็นอักษรย่อ
ของคำในภาษาอังกฤษว่า Anti-Bolshevik (แอนตี้บอลเชวิค).
๓๓. โปรดอ่านนิพนธ์เรื่อง “หัวข้อเกี่ยวกับปัญหาการเจรจาสันติภาพโดยลำพังทันทีและการทำสัญญาสันติภาพตัดแบ่งดินแดน”
เรื่อง “คำกล่าวที่ทั้งแปลกและอัศจรรย์” เรื่อง “บทเรียนอันหนักหน่วงและความรับผิดชอบอันหนักหน่วง” เรื่อง “คำรายงาน
เกี่ยวกับปัญหาสงครามและสันติภาพ” ของเลนิน และ “แบบเรียนประวัติพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (บอลเชวิค)
ฉบับสังเขป” บทที่ ๗ ตอนที่ ๗ ประกอบ.
๓๔. ชาวธิเบตและชาวหุยที่กล่าวถึงในที่นี้หมายถึงชนชาติธิเบตในแถบมณฑลซีคัง (อยู่ในภาคตะวันกตกมณฑลเสฉวนเวลานี้—ผู้
แปล) และชนชาติหุย ในมณฑลกานซู่ ชิงไห่และซินเกียง.
๓๕. การประพันธ์แบบแปดส่วนเป็นรูปการประพันธ์พิเศษชนิดหนึ่งซึ่งกำหนดไว้ในระบอบสอบคัดเลือกขุนนางของราชสำนัก
ศักดินาจีนตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๕ ถึงศตวรรษที่ ๑๙. รูปการประพันธ์ชนิดนี้เป็นการเล่นอักษรที่ไม่มีเนื้อหาสาระและเอาแต่รูป
แบบอย่างเดียว. การประพันธ์แบบแปดส่วนทุกบทประกอบขึ้นด้วยส่วนต่าง ๆ อันได้แก่ ไขหัวเรื่อง รับหัวเรื่อง เริ่มเดินเรื่อง
ลงมือ ส่วนต้น ส่วนกลาง ส่วนปลายและส่วนปิดท้าย. “ไขหัวเรื่อง” มี ๒ ประโยค ไขความหมายอันสำคัญของหัวเรื่อง. “รับ
หัวเรื่อง” ใช้ข้อความ ๓ หรือ ๔ ประโยค อธิบายให้รับกับความหมายของการไขหัวเรื่อง. “เริ่มเดินเรื่อง” กล่าวถึงเนื้อเรื่อง
ทั้งหมดโดยย่อ เป็นการเริ่มบรรยายเรื่อง. “ลงมือ” คือตอนที่ลงมือหลังจากเริ่มเดินเรื่องแล้ว. ส่วนต้น ส่วนกลาง ส่วนปลาย
และส่วนปิดท้าย ๔ ตอนนี้จึงจะเป็นการบรรยายเรื่องอย่างแท้จริง ส่วนกลางเป็นหัวใจของบทประพันธ์ทั้งบท. ใน ๔ ตอนนี้
แต่ละตอนมีถ้อยคำที่รับกันเป็นคู่ ๆ ๒ ส่วน รวมทั้งหมดเป็น ๘ ส่วน ดังนั้นจึงเรียกว่าการประพันธ์แบบแปดส่วน หรือแปดคู่ก็
เรียก. ในที่นี้สหายเหมาเจ๋อตุงได้กล่าวถึงกระบวนการของการเดินเรื่องจากส่วนหนึ่งไปสู่อีกส่วนหนึ่งในการเขียนบทประพันธ์
แบบแปดส่วน เพื่อใช้เป็นอุปมาของขั้นต่าง ๆ ในการขยายตัวของการปฏิวัติ. แต่ในกรณีทั่วไป สหายเหมาเจ๋อตุงมักยกเอาคำ
ว่าการประพันธ์แบบแปดส่วนนี้ไปเป็นอุปมาเหน็บแนมลัทธิคัมภีร์.
หมายเหตุผู้แปล
1. ระบอบเขตหลังใหญ่ หมายถึงองค์การเขตหลังที่ใหญ่เทอะทะไม่เหมาะกับสภาพการณ์ของสงครามในเวลานั้นซึ่งเคยเป็นความ
คิดเห็นของผู้ชี้นำแนวทางเอียง “ซ้าย” ในสมัยสงครามปฏิวัติภายในประเทศครั้งที่ ๒. ส่วนระบอบเขตหลังเล็ก หมายถึงการก่อ
ตั้งองค์การเขตหลังขนาดเล็กแบบสู้รบที่รัดกุม.
2. คำนี้เป็นคำมาจากเรื่องโบราณเรื่องหนึ่งของจีน. ความเดิมมีว่า เมื่อก่อนคริสต์ศักราช ๕๘๙ ปี แคว้นฉีได้ทำศึกกับแคว้นจิ้น
หลู่และเว่ย. ฉีชิงกุงเจ้าผู้ครองแคว้นฉีประมาทข้าศึก ใคร่จะเผด็จศึกในเร็ววัน จึงตรัสว่า “ขอให้เราทำลายข้าศึกกลุ่มนี้เสียก่อน
เถอะจึงค่อยกินข้าวเช้า”. ว่าแล้ว ทัพฉีก็บุกตะลุยออกไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันได้สวมเกราะให้ม้าที่เทียมรถศึก ผลที่สุดก็รบแพ้.
3. เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี ๑๙๓๓ ภายใต้ผลสะเทือนแห่งกระแสสูงการต่อต้านญี่ปุ่นของประชาชนจีนทั่วประเทศ นายพลใน
กองทัพลู่ที่ ๑๙ “ของก๊กมินตั๋ง ได้ร่วมมือกับอิทธิพลส่วนหนึ่งของหลี่จี้เซินและคนอื่น ๆ ในพรรคก๊กมินตั๋ง ประกาศแตกหักกับ
เจียงไคเช็คอย่างเปิดเผย”. พวกเขาได้ประกาศก่อตั้ง “รัฐบาลปฏิวัติประชาชนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน” ขึ้นในมณฑล
ฮกเกี้ยน และทั้งได้ทำข้อตกลงกับกองทัพแดงในการต่อต้านญี่ปุ่นคัดค้านเจียงไคเช็ค. นี่คือที่เรียกกันว่า “กรณีฮกเกี้ยน”. ต่อ
มากองทัพลู่ที่ ๑๙ และรัฐบาลประชาชนฮกเกี้ยนได้พ่ายแพ้ไปด้วยการบีบบังคับของกำลังทหารเจียงไคเช็ค.
4. พญาเล่งอ๋อง (พญามังกร) ตัวละครในเทพนิยายของจีน เป็นจ้าวแห่งทะเล, มีของวิเศษนับไม่ถ้วน.