bg-head-3

ประวัติส่วนตัว

หมายเหตุ

 

หมายเหตุ
 
*  นิพนธ์ปรัชญาเรื่องนี้ สหายเหมาเจ๋อตุงเขียนขึ้นหลังเรื่อง “ว่าด้วยการปฏิบัติ” ด้วยจุดมุ่งหมายอันเดียวกัน คือเพื่อที่จะขจัดความคิดลัทธิคัมภีร์อันร้ายแรงที่มีอยู่ภายในพรรค เรื่องนี้เคยแสดงเป็นปาฐกถาในมหาวิทยาลัยการทหารและการเมืองต่อต้านญี่ปุ่นที่เยนอานมาแล้ว. ในขณะที่รวบรวมเข้าไว้ในหนังสือเล่มนี้ ผู้นิพนธ์ได้เพิ่มเติม ตัดทอนและแก้ไขเป็นบางส่วน.
๑.  อ้างจาก “บันทึกปรัชญา” ของเลนิน ตอน “สังเขปความจากตอน ‘ปรัชญาสำนักอิลิยา’ ในหนังสือ ‘ประวัติปรัชญา’ ของเฮเกล เล่ม ๑”
๒.  ในเรื่อง “เกี่ยวกับปัญหาวิภาษวิธี” เลนินกล่าวว่า “การแยกเป็น ๒ ส่วนของสิ่งเอกภาพและความรับรู้ของเราที่มีต่อส่วนต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกันของมัน, คือธาตุแท้ของวิภาษวิธี”. ในเรื่อง “สังเขปความจาก ‘ตรรกวิทยา’ ของเฮเกล” เลนินกล่าวอีกว่า “วิภาษวิธีกำหนดได้อย่างคร่าว ๆ ว่า เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับความเป็นเอกภาพของด้านตรงกันข้าม. เช่นนี้ก็ยึดกุมแกนของวิภาษวิธีไว้ได้ แต่ยังจำเป็นต้องอธิบายและขยายความ.”
๓.  อ้างจาก “เกี่ยวกับปัญหาวิภาษวิธี” ของเลนิน.
๔.  ตุ่งจุ้งซู ตัวแทนผู้มีชื่อเสียงของสำนักขงจื๊อในสมัยราชวงศ์ฮั่น (ก่อนคริสต์ศักราช ๑๗๙-๑๐๔ ปี)เคยทูลพระเจ้าฮั่นหวู่ตี้ว่า “ฟ้าคือแหล่งเกิดอันใหญ่ยิ่งของมรรค ฟ้าไม่เปลี่ยน มรรคก็ไม่เปลี่ยน.” “มรรค” เป็นคำที่ใช้กันทั่วไปในหมู่นักปรัชญาสมัยโบราณของจีน ซึ่งมีความหมายว่า “หนทาง” หรือ “หลักเหตุผล” และจะอธิบายว่า “กฎ” หรือ “กฎเกณฑ์” ก็ได้.
๕.  ดูเรื่อง “แอนตี้ดูห์ริง” ของเองเกลส์ ภาคที่ ๑ ตอนที่ ๑๒ “วิภาษวิธี. ปริมาณกับคุณภาพ”.
๖.  ดูได้จากเรื่อง “เกี่ยวกับปัญหาวิภาษวิธี” ของเลนิน.
๗.  อ้างจากเรื่อง “แอนตี้ดูห์ริง” ของเองเกลส์ ภาคที่ ๑ ตอนที่ ๑๒ “วิภาษวิธี. ปริมาณกับคุณภาพ”.
๘.  อ้างจากเรื่อง “เกี่ยวกับปัญหาวิภาษวิธี” ของเลนิน.
๙.  อ้างจากเรื่อง “เกี่ยวกับปัญหาวิภาษวิธี” ของเลนิน.
๑๐.ดูได้จากเรื่อง “ลัทธิคอมมิวนิสต์” ใน “สรรพนิพนธ์เลนิน” เล่ม ๓๑. ดูหมายเหตุ ๑๐ ของเรื่อง “ปัญหายุทธศาสตร์ในสงครามปฏิวัติของจีน” ประกอบ.
๑๑.ดูได้จาก “ซุนจื่อ” บทที่ ๓ “กลรุก”.
๑๒.เว่ยเจิง (ค.ศ. ๕๘๐-๖๔๓) เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและนักประวัติศาสตร์ในต้นสมัยราชวงศ์ถัง. คำอ้างในนิพนธ์นี้ดูได้จากหนังสือ “จือจื้อทุงเจี้ยน” เล่ม ๑๙๒.
๑๓.”สุยหู่จ้วน” (หรือ “ซ้องกั๋ง”) เป็นนวนิยายที่บรรยายถึงสงครามชาวนาครั้งหนึ่งในปลายสมัยราชวงศ์ซ้องเหนือ. ซ้องกั๋งเป็นตัวเอกในนวนิยายเล่มนี้. หมู่บ้านจู้เจียจวงอยู่ใกล้กับเนี้ยซัวเปาะฐานที่มั่นของสงครามชาวนา, ผู้ครองหมู่บ้านนี้เป็นเจ้าที่ดินอันธพาลใหญ่คนหนึ่งชื่อจู้เฉาเฟิ่ง.
๑๔. อ้างจากเรื่อง “ ว่าด้วยสหบาลกรรมการ สถานการณ์ปัจจุบันและความผิดพลาดของทรอตสกี้และบุคฮารินอีกครั้ง” ของเลนิน.
๑๕. ดูได้จากเรื่อง “จะทำอะไรดี?” ของเลนิน บทที่ ๑ ตอนที่ ๔.
๑๖. อ้างจากเรื่อง “สังเขปความจาก ‘ตรรกวิทยา’ ของเฮเกล” ของเลนิน.
๑๗. “ซานไห่จิง” เป็นบทประพันธ์เรื่องหนึ่งในสมัยจ้านกว๋อของจีน (ก่อนคริสต์ศักราช ๔๐๓-๒๒๑ ปี). ควาฟู่เป็นเทวมนุษย์คนหนึ่งซึ่งบันทึกไว้ใน “ซานไห่จิง”. กล่าวกันว่า “ควาฟู่ไล่ตามดวงอาทิตย์. ครั้นดวงอาทิตย์ตกดิน, ควาฟู่ก็เกิดกระหายน้ำเป็นกำลัง จึงไปดื่มน้ำที่แม่น้ำเหลืองและแม่น้ำเว่ยเหอ. แต่น้ำในแม่น้ำทั้งสองไม่พอดื่ม ควาฟู่บ่ายหน้าไปทางทิศเหนือเพื่อดื่มน้ำในทะเลสาบใหญ่. ยังไม่ทันถึง ก็กระหายน้ำตายเสียกลางทาง. ไม้เท้าที่ทิ้งไว้ได้กลายเป็นป่าเติ้งหลิน.” (จากตอน “ไห่ว่ายเป่ยจิง”).
๑๘. ยี่เป็นวีรบุรุษในนิทานปรัมปราสมัยโบราณของจีน “ยิงดวงอาทิตย์” เป็นนิทานลือชื่อเกี่ยวกับฝีมือการยิงเกาทัณฑ์อันยอดเยี่ยมของเขา. ตามหนังสือ “หวายหนานจื่อ” ซึ่งเรียบเรียงโดยหลิวอาน คนสมัยราชวงศ์ฮั่น (ผู้ดีในสมัยก่อนคริสต์ศักราช ๒ ศตวรรษ) กล่าวว่า “ในสมัยจักรพรรดิเงี้ยวเต้ ดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกัน ๑๐ ดวง แผดเผาพืชพันธุ์ธัญญาหารและต้นไม้ใบหญ้าไหม้เกรียมตายไปหมด ทำให้ประชาชนไม่มีอาหารกิน. ขณะเดียวกันก็มีสิงห์สาราสัตว์อันดุร้ายและลมพายุทำร้ายและก่อความเดือดร้อนแก่อาณาประชาราษฎร์.  เงี้ยวเต้จึงตรัสสั่งให้ยี่...ยิงดวงอาทิตย์ ๑๐ ดวงบนฟ้าและสังหารสัตว์ร้ายบนพื้นดินเสีย...อาณาประชาราษฎร์ต่างปีติยินดีเป็นอันมาก.” ตามหมายเหตุซึ่งเขียนโดยหวางยี่คนสมัยราชวงศ์ตุงฮั่น (นักประพันธ์สมัยศตวรรษที่ ๒) เกี่ยวกับบทกลอนเรื่อง “ถามสวรรค์” ของซีหยวนกล่าวว่า “หนังสือ ‘หวายหนานจื่อ’ ว่าในสมัยจักรพรรดิเงี้ยวเต้ ดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกัน ๑๐ ดวง ต้นไม้ใบหญ้าถูกแผดเผาจนไหม้เกรียม. เงี้ยวเต้จึงตรัสสั่งแก่ยี่ให้ยิงดวงอาทิตย์ ๑๐ ดวง, ถูกเข้า ๙ ดวง...เหลือไว้เพียงดวงเดียว.”
๑๙. “ไซอิ๋ว” เป็นเทพนิยายเรื่องหนึ่งของจีนในศตวรรษที่ ๑๖. เห้งเจียตัวเอกในเรื่อง “ไซอิ๋ว” เป็นลิงกายสิทธิ์ มีอภินิหารแปลงกายได้ ๗๒ อย่าง มันแปลงได้ตามใจชอบทุกอย่างไม่ว่านก สัตว์ป่า แมลง ปลา ต้นไม้ ต้นหญ้า, เครื่องใช้ สิ่งของหรือคน.
๒๐. “นิทานประหลาดจากเหลียวจาย” เป็นหนังสือชุมนุมนิยายเรื่องสั้นซึ่งผู่ซุงหลิง คนสมัยราชวงศ์เช็งในศตวรรษที่ ๑๗ รวบรวมเขียนขึ้นจากนิทานปรัมปราพื้นบ้าน รวม ๔๓๑ เรื่อง ส่วนใหญ่บรรยายถึงเรื่องเทวดา ภูตผี และปีศาจฮู่ลี้.
๒๑. อ้างจากเรื่อง “คำนำเรื่องวิพากษ์เศรษฐศาสตร์การเมือง” ของมาร์กซ.
๒๒. อ้างจากเรื่อง “เกี่ยวกับปัญหาวิภาษวิธี” ของเลนิน.
๒๓. คำ ๆ นี้ปรากฏเป็นครั้งแรกในหนังสือ “ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่นสมัยแรก” ซึ่งเขียนโดยปานกู้ (นักประวัติศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงของจีนในศตวรรษที่ ๑) และก็ใช้กันค่อนข้างแพร่หลายในเวลาต่อมา.
๒๔. ดูได้จากเรื่อง “เกี่ยวกับปัญหาวิภาษวิธี” ของเลนิน.
๒๕. ดูได้จากคำวิจารณ์ของเลนินเกี่ยวกับเรื่อง “เศรษฐศาสตร์ในระยะผ่าน” ของบุคฮาริน.
 
หมายเหตุผู้แปล
 
1. เดโบริน (ปี ๑๘๘๑-๑๙๖๓) เป็นนักปรัชญาของสหภาพโซเวียต รัฐบัณฑิตแห่งสภาวิทยาศาสตร์สหภาพโซเวียต. เมื่อปี ๑๙๓๐ วงการปรัชญาสหภาพโซเวียตได้ก่อการวิพากษ์สำนักเดโบริน โดยชี้ว่า สำนักนี้กระทำผิดในลักษณะจิตนิยม เช่น ทฤษฎีแยกออกจากการปฏิบัติ ปรัชญาแยกออกจากการเมือง เป็นต้น.
2. บุคฮาริน (ปี ๑๘๘๘-๑๙๓๘) เดิมเป็นหัวหน้าของกลุ่มแอนตี้ลัทธิเลนินกลุ่มหนึ่งในการเคลื่อนไหวปฏิวัติรัสเซีย ต่อมาเนื่องจากได้เข้าร่วมกลุ่มทรยศกบฏชาติ จึงถูกไล่ออกจากพรรคเมื่อปี ๑๙๓๗ และถูกศาลฎีกาแห่งสหภาพโซเวียตตัดสินประหารชีวิตเมื่อปี ๑๙๓๘. ที่สหายเหมาเจ๋อตุงวิพากษ์ในที่นี้ คือ ความเห็นที่ผิดชนิดหนึ่งที่บุคฮารินยืนหยัดเป็นเวลานาน นั่นก็คือ ปกปิดความขัดแย้งทางชนชั้น และใช้การร่วมมือทางชนชั้นเข้าแทนที่การต่อสู้ทางชนชั้น. เมื่อสหภาพโซเวียตเตรียมจะดำเนินการแปรเกษตรกรรมให้เป็นแบบรวมหมู่อย่างทั่วด้านระหว่างปี ๑๙๒๘ ถึงปี ๑๙๒๙ นั้น บุคฮารินได้เสนอความเห็นที่ผิดชนิดนี้อย่างโจ่งแจ้งยิ่งขึ้น โดยพยายามปกปิดความขัดแย้งทางชนชั้นระหว่างชาวนารวยกับชาวนาจนและชาวนากลาง คัดค้านการต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวกับชาวนารวย ทั้งยังถือความเห็นอันเหลวไหลว่า ชนชั้นกรรมกรสร้างพันธมิตรกับชาวนารวยได้ และชาวนารวยก็ “เจริญเข้าสู่สังคมนิยมอย่างสันติ” ได้.
3. กลม้าไม้เป็นนิยายลือชื่อเรื่องหนึ่งในเทพนิยายกรีก. เล่าสืบต่อกันมาว่า ชาวกรีกสมัยโบราณตีเมืองทรอยเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่อาจตีแตกได้. ต่อมาพวกเขาแสร้งทำเป็นถอนกลับ และทิ้งม้าไม้ยักษ์ตัวหนึ่งไว้ที่ค่ายทหารเชิงกำแพงเมือง ในท้องม้ามีผู้กล้าหาญจำนวนหนึ่งซ่อนอยู่. ชาวทรอยไม่รู้ว่าเป็นกลยุทธ์ของข้าศึก จึงช่วยกันลากเอาม้าไม้ตัวนั้นเข้าไปในเมืองโดยถือว่าเป็นสินศึก. ตกดึก บรรดาผู้กล้าหาญก็ออกจากม้าไม้ ถือโอกาสที่ชาวทรอยมิได้ระแวดระวังเลยแม้แต่น้อย ประสานกับกองทหารที่อยู่นอกเมือง ยึดเมืองทรอยไว้ได้อย่างรวดเร็ว.
4. คอมมูนปารีส เป็นองค์การอำนาจรัฐของชนชั้นกรรมาชีพองค์การแรกในประวัติศาสตร์ของโลก. เมื่อวันที่  ๑๘ มีนาคม ๑๘๗๑ ชนชั้นกรรมาชีพฝรั่งเศสได้ก่อการลุกขึ้นสู้ที่ปารีสและเข้ายึดอำนาจรัฐได้ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ได้ก่อตั้งคอมมูนปารีสในการนำของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นโดยผ่านการเลือกตั้ง. คอมมูนปารีสเป็นการทดลองครั้งแรกของการปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพในอันที่จะทำลายกลไกรัฐชนชั้นนายทุน และก็เป็นการริเริ่มที่ยิ่งใหญ่ในอันที่จะใช้อำนาจรัฐชนชั้นกรรมาชีพเข้าแทนที่อำนาจรัฐชนชั้นนายทุนที่ถูกทำลายไปแล้ว. เนื่องจากชนชั้นกรรมาชีพฝรั่งเศสในเวลานั้นยังไม่สุกงอมพอ พวกเขามิได้สนใจในการสามัคคีพันธมิตรชาวนาอันไพศาล ทั้งผ่อนปรนต่อพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติมากเกินไปและมิได้ดำเนินการเข้าตีทางการทหารอย่างเด็ดเดี่ยวให้ทันท่วงที จึงเป็นเหตุให้อิทธิพลปฏิปักษ์ปฏิวัติสามารถรวบรวมกำลังที่แตกกระเจิงได้อย่างไม่รีบร้อน แล้วหวนกลับมาก่อการสังหารครั้งใหญ่อย่างบ้าคลั่งต่อมวลชนที่ลุกขึ้นสู้. คอมมูนปารีสได้ถึงแก่ความพ่ายแพ้ไปเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคมปีนั้นเอง.
5. ทรอตสกี้ (ปี ๑๘๗๙-๑๙๔๐) เดิมเป็นหัวหน้าของกลุ่มแอนตี้ลัทธิเลนินกลุ่มหนึ่งในการเคลื่อนไหวปฏิวัติของรัสเซีย ต่อมาได้เสื่อมทรามลงเป็นโจรปฏิปักษ์ปฏิวัติโดยสิ้นเชิง. เขาถูกศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียตไล่ออกจากพรรคเมื่อปี ๑๙๒๗ ถูกรัฐบาลสหภาพโซเวียตเนรเทศเมื่อปี ๑๙๒๙ ถูกถอนสัญชาติสหภาพโซเวียตเมื่อปี ๑๙๓๒ และในที่สุดตายในต่างประเทศเมื่อปี ๑๙๔๐.
 

หมายเหตุ

 

     *   นิพนธ์ปรัชญาเรื่องนี้ สหายเหมาเจ๋อตุงเขียนขึ้นหลังเรื่อง “ว่าด้วยการปฏิบัติ” ด้วยจุดมุ่งหมายอันเดียวกัน คือเพื่อที่จะขจัด
          ความคิดลัทธิคัมภีร์อันร้ายแรงที่มีอยู่ภายในพรรค เรื่องนี้เคยแสดงเป็นปาฐกถาในมหาวิทยาลัยการทหารและการเมืองต่อต้าน
          ญี่ปุ่นที่เยนอานมาแล้ว. ในขณะที่รวบรวมเข้าไว้ในหนังสือเล่มนี้ ผู้นิพนธ์ได้เพิ่มเติม ตัดทอนและแก้ไขเป็นบางส่วน. 

     ๑.  อ้างจาก “บันทึกปรัชญา” ของเลนิน ตอน “สังเขปความจากตอน ‘ปรัชญาสำนักอิลิยา’ ในหนังสือ ‘ประวัติปรัชญา’ ของเฮเกล
          เล่ม ๑” 

     ๒.  ในเรื่อง “เกี่ยวกับปัญหาวิภาษวิธี” เลนินกล่าวว่า “การแยกเป็น ๒ ส่วนของสิ่งเอกภาพและความรับรู้ของเราที่มีต่อส่วนต่าง ๆ ที่
          ขัดแย้งกันของมัน, คือธาตุแท้ของวิภาษวิธี”. ในเรื่อง “สังเขปความจาก ‘ตรรกวิทยา’ ของเฮเกล” เลนินกล่าวอีกว่า “วิภาษวิธี
          กำหนดได้อย่างคร่าว ๆ ว่า เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับความเป็นเอกภาพของด้านตรงกันข้าม. เช่นนี้ก็ยึดกุมแกนของวิภาษวิธีไว้ได้ แต่
          ยังจำเป็นต้องอธิบายและขยายความ.” 

     ๓.  อ้างจาก “เกี่ยวกับปัญหาวิภาษวิธี” ของเลนิน. 

     ๔.  ตุ่งจุ้งซู ตัวแทนผู้มีชื่อเสียงของสำนักขงจื๊อในสมัยราชวงศ์ฮั่น (ก่อนคริสต์ศักราช ๑๗๙-๑๐๔ ปี)เคยทูลพระเจ้าฮั่นหวู่ตี้ว่า “ฟ้า
          คือแหล่งเกิดอันใหญ่ยิ่งของมรรค ฟ้าไม่เปลี่ยน มรรคก็ไม่เปลี่ยน.” “มรรค” เป็นคำที่ใช้กันทั่วไปในหมู่นักปรัชญาสมัยโบราณ
          ของจีน ซึ่งมีความหมายว่า “หนทาง” หรือ “หลักเหตุผล” และจะอธิบายว่า “กฎ” หรือ “กฎเกณฑ์” ก็ได้. 

     ๕.  ดูเรื่อง “แอนตี้ดูห์ริง” ของเองเกลส์ ภาคที่ ๑ ตอนที่ ๑๒ “วิภาษวิธี. ปริมาณกับคุณภาพ”. 

     ๖.  ดูได้จากเรื่อง “เกี่ยวกับปัญหาวิภาษวิธี” ของเลนิน. 

     ๗.  อ้างจากเรื่อง “แอนตี้ดูห์ริง” ของเองเกลส์ ภาคที่ ๑ ตอนที่ ๑๒ “วิภาษวิธี. ปริมาณกับคุณภาพ”. 

     ๘.  อ้างจากเรื่อง “เกี่ยวกับปัญหาวิภาษวิธี” ของเลนิน. 

     ๙.  อ้างจากเรื่อง “เกี่ยวกับปัญหาวิภาษวิธี” ของเลนิน. 

     ๑๐.ดูได้จากเรื่อง “ลัทธิคอมมิวนิสต์” ใน “สรรพนิพนธ์เลนิน” เล่ม ๓๑. ดูหมายเหตุ ๑๐ ของเรื่อง “ปัญหายุทธศาสตร์ในสงคราม
          ปฏิวัติของจีน” ประกอบ. ๑๑.ดูได้จาก “ซุนจื่อ” บทที่ ๓ “กลรุก”. 

     ๑๒.เว่ยเจิง (ค.ศ. ๕๘๐-๖๔๓) เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและนักประวัติศาสตร์ในต้นสมัยราชวงศ์ถัง. คำอ้างในนิพนธ์นี้ดูได้
          จากหนังสือ “จือจื้อทุงเจี้ยน” เล่ม ๑๙๒. 

     ๑๓.”สุยหู่จ้วน” (หรือ “ซ้องกั๋ง”) เป็นนวนิยายที่บรรยายถึงสงครามชาวนาครั้งหนึ่งในปลายสมัยราชวงศ์ซ้องเหนือ. ซ้องกั๋งเป็น
          ตัวเอกในนวนิยายเล่มนี้. หมู่บ้านจู้เจียจวงอยู่ใกล้กับเนี้ยซัวเปาะฐานที่มั่นของสงครามชาวนา, ผู้ครองหมู่บ้านนี้เป็นเจ้าที่ดิน
          อันธพาลใหญ่คนหนึ่งชื่อจู้เฉาเฟิ่ง. 

     ๑๔. อ้างจากเรื่อง “ ว่าด้วยสหบาลกรรมการ สถานการณ์ปัจจุบันและความผิดพลาดของทรอตสกี้และบุคฮารินอีกครั้ง” ของเลนิน.

     ๑๕. ดูได้จากเรื่อง “จะทำอะไรดี?” ของเลนิน บทที่ ๑ ตอนที่ ๔.  

     ๑๖. อ้างจากเรื่อง “สังเขปความจาก ‘ตรรกวิทยา’ ของเฮเกล” ของเลนิน. 

     ๑๗. “ซานไห่จิง” เป็นบทประพันธ์เรื่องหนึ่งในสมัยจ้านกว๋อของจีน (ก่อนคริสต์ศักราช ๔๐๓-๒๒๑ ปี). ควาฟู่เป็นเทวมนุษย์คน
           หนึ่งซึ่งบันทึกไว้ใน “ซานไห่จิง”. กล่าวกันว่า “ควาฟู่ไล่ตามดวงอาทิตย์. ครั้นดวงอาทิตย์ตกดิน, ควาฟู่ก็เกิดกระหายน้ำเป็น
           กำลัง จึงไปดื่มน้ำที่แม่น้ำเหลืองและแม่น้ำเว่ยเหอ. แต่น้ำในแม่น้ำทั้งสองไม่พอดื่ม ควาฟู่บ่ายหน้าไปทางทิศเหนือเพื่อดื่มน้ำ
           ในทะเลสาบใหญ่. ยังไม่ทันถึง ก็กระหายน้ำตายเสียกลางทาง. ไม้เท้าที่ทิ้งไว้ได้กลายเป็นป่าเติ้งหลิน.” (จากตอน “ไห่ว่าย
           เป่ยจิง”).  

     ๑๘. ยี่เป็นวีรบุรุษในนิทานปรัมปราสมัยโบราณของจีน “ยิงดวงอาทิตย์” เป็นนิทานลือชื่อเกี่ยวกับฝีมือการยิงเกาทัณฑ์อันยอด
           เยี่ยมของเขา. ตามหนังสือ “หวายหนานจื่อ” ซึ่งเรียบเรียงโดยหลิวอาน คนสมัยราชวงศ์ฮั่น (ผู้ดีในสมัยก่อนคริสต์ศักราช ๒
           ศตวรรษ) กล่าวว่า “ในสมัยจักรพรรดิเงี้ยวเต้ ดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกัน ๑๐ ดวง แผดเผาพืชพันธุ์ธัญญาหารและต้นไม้ใบหญ้า
           ไหม้เกรียมตายไปหมด ทำให้ประชาชนไม่มีอาหารกิน. ขณะเดียวกันก็มีสิงห์สาราสัตว์อันดุร้ายและลมพายุทำร้ายและก่อ
           ความเดือดร้อนแก่อาณาประชาราษฎร์.  เงี้ยวเต้จึงตรัสสั่งให้ยี่...ยิงดวงอาทิตย์ ๑๐ ดวงบนฟ้าและสังหารสัตว์ร้ายบนพื้นดิน
           เสีย...อาณาประชาราษฎร์ต่างปีติยินดีเป็นอันมาก.” ตามหมายเหตุซึ่งเขียนโดยหวางยี่คนสมัยราชวงศ์ตุงฮั่น (นักประพันธ์
           สมัยศตวรรษที่ ๒) เกี่ยวกับบทกลอนเรื่อง “ถามสวรรค์” ของซีหยวนกล่าวว่า “หนังสือ ‘หวายหนานจื่อ’ ว่าในสมัยจักรพรรดิ
           เงี้ยวเต้ ดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกัน ๑๐ ดวง ต้นไม้ใบหญ้าถูกแผดเผาจนไหม้เกรียม. เงี้ยวเต้จึงตรัสสั่งแก่ยี่ให้ยิงดวงอาทิตย์ ๑๐
           ดวง, ถูกเข้า ๙ ดวง...เหลือไว้เพียงดวงเดียว.” 

     ๑๙. “ไซอิ๋ว” เป็นเทพนิยายเรื่องหนึ่งของจีนในศตวรรษที่ ๑๖. เห้งเจียตัวเอกในเรื่อง “ไซอิ๋ว” เป็นลิงกายสิทธิ์ มีอภินิหารแปลง
           กายได้ ๗๒ อย่าง มันแปลงได้ตามใจชอบทุกอย่างไม่ว่านก สัตว์ป่า แมลง ปลา ต้นไม้ ต้นหญ้า, เครื่องใช้ สิ่งของหรือคน.

     ๒๐. “นิทานประหลาดจากเหลียวจาย” เป็นหนังสือชุมนุมนิยายเรื่องสั้นซึ่งผู่ซุงหลิง คนสมัยราชวงศ์เช็งในศตวรรษที่ ๑๗ รวบรวม
           เขียนขึ้นจากนิทานปรัมปราพื้นบ้าน รวม ๔๓๑ เรื่อง ส่วนใหญ่บรรยายถึงเรื่องเทวดา ภูตผี และปีศาจฮู่ลี้. 

     ๒๑. อ้างจากเรื่อง “คำนำเรื่องวิพากษ์เศรษฐศาสตร์การเมือง” ของมาร์กซ. 

     ๒๒. อ้างจากเรื่อง “เกี่ยวกับปัญหาวิภาษวิธี” ของเลนิน. 

     ๒๓. คำ ๆ นี้ปรากฏเป็นครั้งแรกในหนังสือ “ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่นสมัยแรก” ซึ่งเขียนโดยปานกู้ (นักประวัติศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง
           ของจีนในศตวรรษที่ ๑) และก็ใช้กันค่อนข้างแพร่หลายในเวลาต่อมา. 

     ๒๔. ดูได้จากเรื่อง “เกี่ยวกับปัญหาวิภาษวิธี” ของเลนิน. 

     ๒๕. ดูได้จากคำวิจารณ์ของเลนินเกี่ยวกับเรื่อง “เศรษฐศาสตร์ในระยะผ่าน” ของบุคฮาริน.

 

หมายเหตุผู้แปล

 

     1.  เดโบริน (ปี ๑๘๘๑-๑๙๖๓) เป็นนักปรัชญาของสหภาพโซเวียต รัฐบัณฑิตแห่งสภาวิทยาศาสตร์สหภาพโซเวียต. เมื่อปี ๑๙๓๐
         วงการปรัชญาสหภาพโซเวียตได้ก่อการวิพากษ์สำนักเดโบริน โดยชี้ว่า สำนักนี้กระทำผิดในลักษณะจิตนิยม เช่น ทฤษฎีแยก
         ออกจากการปฏิบัติ ปรัชญาแยกออกจากการเมือง เป็นต้น. 

     2.  บุคฮาริน (ปี ๑๘๘๘-๑๙๓๘) เดิมเป็นหัวหน้าของกลุ่มแอนตี้ลัทธิเลนินกลุ่มหนึ่งในการเคลื่อนไหวปฏิวัติรัสเซีย ต่อมาเนื่องจาก
         ได้เข้าร่วมกลุ่มทรยศกบฏชาติ จึงถูกไล่ออกจากพรรคเมื่อปี ๑๙๓๗ และถูกศาลฎีกาแห่งสหภาพโซเวียตตัดสินประหารชีวิต
         เมื่อปี ๑๙๓๘. ที่สหายเหมาเจ๋อตุงวิพากษ์ในที่นี้ คือ ความเห็นที่ผิดชนิดหนึ่งที่บุคฮารินยืนหยัดเป็นเวลานาน นั่นก็คือ ปกปิด
         ความขัดแย้งทางชนชั้น และใช้การร่วมมือทางชนชั้นเข้าแทนที่การต่อสู้ทางชนชั้น. เมื่อสหภาพโซเวียตเตรียมจะดำเนินการ
         แปรเกษตรกรรมให้เป็นแบบรวมหมู่อย่างทั่วด้านระหว่างปี ๑๙๒๘ ถึงปี ๑๙๒๙ นั้น บุคฮารินได้เสนอความเห็นที่ผิดชนิดนี้อย่าง
         โจ่งแจ้งยิ่งขึ้น โดยพยายามปกปิดความขัดแย้งทางชนชั้นระหว่างชาวนารวยกับชาวนาจนและชาวนากลาง คัดค้านการต่อสู้
         อย่างเด็ดเดี่ยวกับชาวนารวย ทั้งยังถือความเห็นอันเหลวไหลว่า ชนชั้นกรรมกรสร้างพันธมิตรกับชาวนารวยได้ และชาวนารวยก็
         “เจริญเข้าสู่สังคมนิยมอย่างสันติ” ได้. 

     3.  กลม้าไม้เป็นนิยายลือชื่อเรื่องหนึ่งในเทพนิยายกรีก. เล่าสืบต่อกันมาว่า ชาวกรีกสมัยโบราณตีเมืองทรอยเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่
         อาจตีแตกได้. ต่อมาพวกเขาแสร้งทำเป็นถอนกลับ และทิ้งม้าไม้ยักษ์ตัวหนึ่งไว้ที่ค่ายทหารเชิงกำแพงเมือง ในท้องม้ามีผู้กล้า
         หาญจำนวนหนึ่งซ่อนอยู่. ชาวทรอยไม่รู้ว่าเป็นกลยุทธ์ของข้าศึก จึงช่วยกันลากเอาม้าไม้ตัวนั้นเข้าไปในเมืองโดยถือว่าเป็นสิน
         ศึก. ตกดึก บรรดาผู้กล้าหาญก็ออกจากม้าไม้ ถือโอกาสที่ชาวทรอยมิได้ระแวดระวังเลยแม้แต่น้อย ประสานกับกองทหารที่อยู่
         นอกเมือง ยึดเมืองทรอยไว้ได้อย่างรวดเร็ว. 

     4.  คอมมูนปารีส เป็นองค์การอำนาจรัฐของชนชั้นกรรมาชีพองค์การแรกในประวัติศาสตร์ของโลก. เมื่อวันที่  ๑๘ มีนาคม ๑๘๗๑
         ชนชั้นกรรมาชีพฝรั่งเศสได้ก่อการลุกขึ้นสู้ที่ปารีสและเข้ายึดอำนาจรัฐได้ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ได้ก่อตั้งคอมมูนปารีสใน
         การนำของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นโดยผ่านการเลือกตั้ง. คอมมูนปารีสเป็นการทดลองครั้งแรกของการปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพในอัน
         ที่จะทำลายกลไกรัฐชนชั้นนายทุน และก็เป็นการริเริ่มที่ยิ่งใหญ่ในอันที่จะใช้อำนาจรัฐชนชั้นกรรมาชีพเข้าแทนที่อำนาจรัฐ
         ชนชั้นนายทุนที่ถูกทำลายไปแล้ว. เนื่องจากชนชั้นกรรมาชีพฝรั่งเศสในเวลานั้นยังไม่สุกงอมพอ พวกเขามิได้สนใจในการ
         สามัคคีพันธมิตรชาวนาอันไพศาล ทั้งผ่อนปรนต่อพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติมากเกินไปและมิได้ดำเนินการเข้าตีทางการทหารอย่าง
         เด็ดเดี่ยวให้ทันท่วงที จึงเป็นเหตุให้อิทธิพลปฏิปักษ์ปฏิวัติสามารถรวบรวมกำลังที่แตกกระเจิงได้อย่างไม่รีบร้อน แล้วหวนกลับ
         มาก่อการสังหารครั้งใหญ่อย่างบ้าคลั่งต่อมวลชนที่ลุกขึ้นสู้. คอมมูนปารีสได้ถึงแก่ความพ่ายแพ้ไปเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคมปี
         นั้นเอง. 

     5.  ทรอตสกี้ (ปี ๑๘๗๙-๑๙๔๐) เดิมเป็นหัวหน้าของกลุ่มแอนตี้ลัทธิเลนินกลุ่มหนึ่งในการเคลื่อนไหวปฏิวัติของรัสเซีย ต่อมาได้
         เสื่อมทรามลงเป็นโจรปฏิปักษ์ปฏิวัติโดยสิ้นเชิง. เขาถูกศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียตไล่ออกจากพรรคเมื่อปี
         ๑๙๒๗ ถูกรัฐบาลสหภาพโซเวียตเนรเทศเมื่อปี ๑๙๒๙ ถูกถอนสัญชาติสหภาพโซเวียตเมื่อปี ๑๙๓๒ และในที่สุดตายในต่าง
         ประเทศเมื่อปี ๑๙๔๐.

 

๗. ข้อสรุป

 

๗. ข้อสรุป
 
เมื่อกล่าวถึงตอนนี้ เราก็อาจจะกล่าวโดยสรุปด้วยคำพูดสั้น ๆ ได้. กฎแห่งความขัดแย้งในสรรพสิ่ง นัยหนึ่งกฎแห่งความเป็นเอกภาพของด้านตรงกันข้าม เป็นกฎมูลฐานของธรรมชาติและสังคม ดังนั้นจึงเป็นกฎมูลฐานของการคิดด้วย. มันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับโลกทรรศน์อภิปรัชญา. มันเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ในประวัติความรับรู้ของมนุษยชาติ. ตามทรรศนะของวัตถุนิยมวิภาษ ความขัดแย้งมีอยู่ในกระบวนการทั้งปวงของสรรพสิ่งทางภววิสัยและการคิดทางอัตวิสัย ความขัดแย้งซึมซ่านอยู่ในกระบวนการทั้งปวงตั้งแต่ต้นจนจบ นี่คือลักษณะทั่วไปและลักษณะสัมบูรณ์ของความขัดแย้ง. สิ่งที่ขัดแย้งกันและแต่ละด้านของมันต่างมีลักษณะพิเศษของมันเอง นี่คือลักษณะเฉพาะและลักษณะสัมพัทธ์ของความขัดแย้ง. สิ่งที่ขัดแย้งกันมีลักษณะอย่างเดียวกันโดยอาศัยเงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ ฉะนั้นจึงอยู่ร่วมกันในองค์เอกภาพอันเดียวกันได้ และต่างแปรเปลี่ยนไปสู่ด้านตรงกันข้ามได้ นี่ก็เป็นลักษณะเฉพาะและลักษณะสัมพัทธ์ของความขัดแย้งอีกเช่นเดียวกัน. แต่การต่อสู้ของความขัดแย้งเป็นไปอย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าในเวลาที่มันอยู่ร่วมกันหรือในเวลาที่มันแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกัน ล้วนแต่มีการต่อสู้ทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่มันแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันนั้น การแสดงออกของการต่อสู้ยิ่งเด่นชัด นี่ก็เป็นลักษณะทั่วไปและลักษณะสัมบูรณ์ของความขัดแย้งอีกเช่นเดียวกัน. ในเวลาที่ค้นคว้าลักษณะเฉพาะและลักษณะสัมพัทธ์ของความขัดแย้ง เราจะต้องสนใจความแตกต่างระหว่างความขัดแย้งหลักกับความขัดแย้งที่มิใช่เป็นหลักและระหว่างด้านหลักของความขัดแย้งกับด้านที่มิใช่เป็นหลักของความขัดแย้ง; ในเวลาที่ค้นคว้าลักษณะทั่วไปและลักษณะต่อสู้ของความขัดแย้ง เราจะต้องสนใจในความแตกต่างระหว่างรูปแบบการต่อสู้ที่ต่างกันนานาชนิดของความขัดแย้ง; มิฉะนั้นก็จะเกิดความผิดพลาดขึ้น. ถ้าเราได้เข้าใจจุดสำคัญดังกล่าวเหล่านี้อย่างแท้จริงโดยผ่านการค้นคว้าแล้ว, เราก็จะสามารถทำลายความคิดลัทธิคัมภีร์ซึ่งขัดกับหลักการพื้นฐานของลัทธิมาร์กซ-เลนินและไม่เป็นผลดีแก่ภารกิจปฏิวัติของเรา; และก็จะสามารถทำให้สหายที่มีความจัดเจนสะสางความจัดเจนของตนให้มีลักษณะหลักการและหลีกเลี่ยงการทำความผิดพลาดในลัทธิจัดเจนซ้ำอีก. เหล่านี้คือข้อสรุปคร่าว ๆ บางประการของเราในการค้นคว้ากฎแห่งความขัดแย้ง.
 

๗. ข้อสรุป

 

          เมื่อกล่าวถึงตอนนี้ เราก็อาจจะกล่าวโดยสรุปด้วยคำพูดสั้น ๆ ได้. กฎแห่งความขัดแย้งในสรรพสิ่ง นัยหนึ่งกฎแห่งความเป็นเอกภาพของด้านตรงกันข้าม เป็นกฎมูลฐานของธรรมชาติและสังคม ดังนั้นจึงเป็นกฎมูลฐานของการคิดด้วย. มันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับโลกทรรศน์อภิปรัชญา. มันเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ในประวัติความรับรู้ของมนุษยชาติ. ตามทรรศนะของวัตถุนิยมวิภาษ ความขัดแย้งมีอยู่ในกระบวนการทั้งปวงของสรรพสิ่งทางภววิสัยและการคิดทางอัตวิสัย ความขัดแย้งซึมซ่านอยู่ในกระบวนการทั้งปวงตั้งแต่ต้นจนจบ นี่คือลักษณะทั่วไปและลักษณะสัมบูรณ์ของความขัดแย้ง. สิ่งที่ขัดแย้งกันและแต่ละด้านของมันต่างมีลักษณะพิเศษของมันเอง นี่คือลักษณะเฉพาะและลักษณะสัมพัทธ์ของความขัดแย้ง. สิ่งที่ขัดแย้งกันมีลักษณะอย่างเดียวกันโดยอาศัยเงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ ฉะนั้นจึงอยู่ร่วมกันในองค์เอกภาพอันเดียวกันได้ และต่างแปรเปลี่ยนไปสู่ด้านตรงกันข้ามได้ นี่ก็เป็นลักษณะเฉพาะและลักษณะสัมพัทธ์ของความขัดแย้งอีกเช่นเดียวกัน. แต่การต่อสู้ของความขัดแย้งเป็นไปอย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าในเวลาที่มันอยู่ร่วมกันหรือในเวลาที่มันแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกัน ล้วนแต่มีการต่อสู้ทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่มันแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันนั้น การแสดงออกของการต่อสู้ยิ่งเด่นชัด นี่ก็เป็นลักษณะทั่วไปและลักษณะสัมบูรณ์ของความขัดแย้งอีกเช่นเดียวกัน. ในเวลาที่ค้นคว้าลักษณะเฉพาะและลักษณะสัมพัทธ์ของความขัดแย้ง เราจะต้องสนใจความแตกต่างระหว่างความขัดแย้งหลักกับความขัดแย้งที่มิใช่เป็นหลักและระหว่างด้านหลักของความขัดแย้งกับด้านที่มิใช่เป็นหลักของความขัดแย้ง; ในเวลาที่ค้นคว้าลักษณะทั่วไปและลักษณะต่อสู้ของความขัดแย้ง เราจะต้องสนใจในความแตกต่างระหว่างรูปแบบการต่อสู้ที่ต่างกันนานาชนิดของความขัดแย้ง; มิฉะนั้นก็จะเกิดความผิดพลาดขึ้น. ถ้าเราได้เข้าใจจุดสำคัญดังกล่าวเหล่านี้อย่างแท้จริงโดยผ่านการค้นคว้าแล้ว, เราก็จะสามารถทำลายความคิดลัทธิคัมภีร์ซึ่งขัดกับหลักการพื้นฐานของลัทธิมาร์กซ-เลนินและไม่เป็นผลดีแก่ภารกิจปฏิวัติของเรา; และก็จะสามารถทำให้สหายที่มีความจัดเจนสะสางความจัดเจนของตนให้มีลักษณะหลักการและหลีกเลี่ยงการทำความผิดพลาดในลัทธิจัดเจนซ้ำอีก. เหล่านี้คือข้อสรุปคร่าว ๆ บางประการของเราในการค้นคว้ากฎแห่งความขัดแย้ง.

 

๕. ลักษณะอย่างเดียวกันกับลักษณะต่อสู้ของด้านต่าง ๆ ของความขัดแย้ง

 

 

๕. ลักษณะอย่างเดียวกันกับลักษณะต่อสู้
ของด้านต่าง ๆ ของความขัดแย้ง
 
เมื่อเข้าใจปัญหาลักษณะทั่วไปกับลักษณะเฉพาะของความขัดแย้งแล้ว เราจะต้องก้าวไปสู่การค้นคว้าปัญหาลักษณะอย่างเดียวกันกับลักษณะต่อสู้ของด้านต่าง ๆ ของความขัดแย้ง.
ลักษณะอย่างเดียวกัน ลักษณะเอกภาพ ลักษณะตรงกัน, การแทรกซึมกัน การบรรลุสู่กัน การพึ่งพาอาศัยกัน (หรือการดำรงอยู่โดยอาศัยกัน) การเกี่ยวพันกัน หรือการร่วมมือกัน, คำที่ต่างกันเหล่านี้มีความหมายอย่างเดียวกันทั้งสิ้น ซึ่งหมายถึงสภาพ ๒ อย่างดังต่อไปนี้ คือ ประการแรก ด้าน ๒ ด้านของความขัดแย้งแต่ละชนิดในกระบวนการแห่งการพัฒนาของสรรพสิ่ง ต่างถือเอาด้านตรงกันข้ามกับตนเป็นเงื่อนไขเบื้องแรกในการดำรงอยู่ของตน และทั้งสองด้านต่างก็อยู่ร่วมกันในองค์เอกภาพอันเดียวกัน; ประการที่สอง ด้าน ๒ด้านที่ขัดแย้งกัน ต่างแปรเปลี่ยนไปสู่ด้านตรงกันข้ามกับตนโดยอาศัยเงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ. เหล่านี้คือสิ่งที่เรียกว่าลักษณะอย่างเดียวกัน.
เลนินกล่าวว่า:
 
“วิภาษวิธีคือคำสอนที่ค้นคว้าว่า ความเป็นปรปักษ์สามารถเป็นอย่างเดียวกันได้อย่างไร และกลายเป็นอย่างเดียวกันอย่างไร (เปลี่ยนเป็นอย่างเดียวกันอย่างไร)—มันแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันและกลายเป็นอย่างเดียวกันภายใต้เงื่อนไขอย่างไร—เหตุใดสมองของคนเราจึงไม่ควรถือว่าความเป็นปรปักษ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ตายตัวหรือแข็งตัว, หากควรถือว่าเป็นสิ่งที่มีชีวิตชีวา มีเงื่อนไข เปลี่ยนแปลงได้ และแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกัน.”๑๖
 
คำพูดของเลนินตอนนี้หมายความว่ากะไร?
ด้านต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกันในกระบวนการทั้งปวงนั้น ที่จริงต่างผลักไสซึ่งกันและกัน ต่อสู้กัน และเป็นปรปักษ์กัน. ในกระบวนการของสิ่งทั้งปวงในโลกและในความคิดของคนเรา, ล้วนมีแต่ด้านที่มีลักษณะขัดแย้งเช่นนี้อยู่โดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ ทั้งสิ้น. กระบวนการที่ง่าย ๆ มีความขัดแย้งเพียงคู่เดียว ส่วนกระบวนการที่สลับซับซ้อนนั้นมีความขัดแย้งมากกว่าหนึ่งคู่ขึ้นไป. ระหว่างความขัดแย้งแต่ละคู่ ก็ยังขัดแย้งกันอีก. เหล่านี้แหละที่ประกอบขึ้นเป็นสิ่งทั้งปวงในโลกภววิสัยและความคิดของคนเรา และผลักดันให้มันเกิดการเคลื่อนไหว.
เมื่อเป็นเช่นนี้ มันก็ไม่เป็นอย่างเดียวกันอย่างยิ่ง ไม่เป็นเอกภาพกันอย่างยิ่ง ไฉนจึงพูดว่าเป็นอย่างเดียวกันหรือเป็นเอกภาพกันเล่า?
แท้ที่จริงด้านต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกันอยู่นั้นจะดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ได้. ถ้าปราศจากด้านของความขัดแย้งที่เป็นคู่ของมันแล้ว ด้านของมันเองก็จะสูญเสียเงื่อนไขที่จะดำรงอยู่. ลองคิดดูว่า สิ่งที่ขัดแย้งกันทั้งปวงหรือจินตภาพที่ขัดแย้งกันในใจของคนเรานั้น ด้านใดก็ตามจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างเป็นอิสระหรือ? ไม่มีการเกิดก็ไม่มีการตาย ไม่มีการตายก็ไม่มีการเกิด. ไม่มีข้างบนก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าข้างล่าง ไม่มีข้างก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าข้างบน. ไม่มีความวิบัติก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความผาสุก ไม่มีความผาสุกก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความวิบัติ. ไม่มีความราบรื่นก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความยากลำบาก ไม่มีความยากลำบากก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความราบรื่น. ไม่มีเจ้าที่ดินก็ไม่มีลูกนา ไม่มีลูกนาก็ไม่มีเจ้าที่ดิน. ไม่มีชนชั้นนายทุนก็ไม่มีชนชั้นกรรมาชีพ ไม่มีชนชั้นกรรมาชีพก็ไม่มีชนชั้นนายทุน. ไม่มีการกดขี่ทางประชาชาติของจักรพรรดินิยมก็ไม่มีเมืองขึ้นและกึ่งเมืองขึ้น ไม่มีเมืองขึ้นและกึ่งเมืองขึ้นก็ไม่มีการกดขี่ทางประชาชาติของจักรพรรดินิยม. ส่วนที่ตรงกันข้ามทั้งปวงเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น เนื่องจากเงื่อนไขที่แน่นอน ด้านหนึ่งเป็นปรปักษ์กัน อีกด้านหนึ่งก็เกี่ยวพันกัน บรรลุสู่กัน แทรกซึมกันและพึ่งพาอาศัยกัน ลักษณะชนิดนี้เรียกว่าลักษณะอย่างเดียวกัน. ด้านที่ขัดแย้งกันทั้งปวงก็ล้วนแต่เพียบพร้อมด้วยลักษณะไม่เป็นอย่างเดียวกันเพราะเงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ, ดังนั้นจึงเรียกว่าความขัดแย้ง. แต่ก็เพียบพร้อมด้วยลักษณะอย่างเดียวกัน ดังนั้นจึงเกี่ยวพันกัน. ที่เลนินกล่าวว่าวิภาษวิธีค้นคว้า “ความเป็นปรปักษ์สามารถเป็นอย่างเดียวกันได้อย่างไร” นั้น ก็หมายถึงสภาพเช่นนี้นั่นเอง. จะเป็นได้อย่างไร? เป็นได้เพราะต่างเป็นเงื่อนไขในการดำรงอยู่ของกันและกัน. นี่คือความหมายประการแรกของลักษณะอย่างเดียวกัน.
แต่เพียงกล่าวว่าด้าน ๒ ด้านของความขัดแย้งเป็นเงื่อนไขในการดำรงอยู่ของกันและกัน ระหว่างด้านทั้งสองมีลักษณะอย่างเดียวกัน จึงอยู่ร่วมกันได้ในองค์เอกภาพอันเดียวกันเช่นนี้ เป็นการเพียงพอแล้วหรือ? ยังไม่เพียงพอ. เรื่องมิใช่หมดกันเพียงแค่ว่าด้าน ๒ ด้านของความขัดแย้งดำรงอยู่โดยอาศัยกันเท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่านี้ยังอยู่ที่การแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันของสรรพสิ่งซึ่งขัดแย้งกัน. หมายความว่า ด้าน ๒ ด้านที่ขัดแย้งกันของภายในของสรรพสิ่งต่างแปรเปลี่ยนไปสู่ด้านที่ตรงกันข้ามกับตน แปรเปลี่ยนไปสู่ฐานะที่ด้านตรงกันข้ามของมันครองอยู่เพราะเงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ นี่คือความหมายประการที่สองของลักษณะอย่างเดียวกันของความขัดแย้ง.
เหตุใดในที่นี้จึงมีลักษณะอย่างเดียวกันด้วยเล่า? ท่านทั้งหลายโปรดดูเถิด ชนชั้นกรรมาชีพซึ่งถูกปกครองแปรเปลี่ยนเป็นผู้ครองอำนาจโดยผ่านการปฏิวัติ ชนชั้นนายทุนซึ่งเดิมเป็นผู้ครองอำนาจกลับแปรเปลี่ยนเป็นผู้ถูกปกครอง แปรเปลี่ยนไปสู่ฐานะที่เดิมทีฝ่ายตรงกันข้ามครองอยู่. ในสหภาพโซเวียตได้ทำเช่นนี้แล้ว ทั่วโลกก็จะทำเช่นนี้เช่นเดียวกัน. ขอถามว่า ถ้าไม่มีความสัมพันธ์และลักษณะอย่างเดียวกันในระหว่างสิ่งเหล่านี้ภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ แล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้อย่างไร?
พรรคก๊กมินตั๋งซึ่งเคยมีบทบาทเอาการเอางานบางอย่างในขั้นที่แน่นอนขั้นหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคใกล้ของจีนนั้น ได้แปรเปลี่ยนเป็นฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติภายหลังปี ๑๙๒๗ เพราะลักษระชนชั้นที่มีอยู่เดิมของมันและการล่อใจของจักรพรรดินิยม (เหล่านี้คือเงื่อนไข) และพรรคนี้ได้ถูกบังคับให้เห็นด้วยกับการต่อต้านญี่ปุ่นเพราะความขัดแย้งระหว่างจีนกับญี่ปุ่นแหลมคมขึ้นและเพราะนโยบายแนวร่วมของพรรคคอมมิวนิสต์ (เหล่านี้คือเงื่อนไข). การที่สิ่งที่ขัดแย้งกันเปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งนั้น ก็ด้วยมีลักษณะอย่างเดียวกันที่แน่นอนอยู่ในนั้น.
การปฏิวัติที่ดินที่เราดำเนินมาแล้ว ได้เป็นและก็ยังจะเป็นกระบวนการดังนี้ คือ ชนชั้นเจ้าที่ดินซึ่งมีที่ดินแปรแปลี่ยนเป็นชนชั้นที่สูญเสียที่ดิน ส่วนชาวนาซึ่งเคยสูญเสียที่ดินกลับแปรเปลี่ยนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลขนาดย่อมที่ได้ที่ดิน. ระหว่างการมีกับการไม่มี การได้กับการเสีย มีความเกี่ยวพันกันเพราะเงื่อนไขที่แน่นอน ด้านทั้งสองจึงมีลักษณะอย่างเดียวกัน. ภายใต้เงื่อนไขสังคมนิยม ระบอบกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลของชาวนาก็จะแปรเปลี่ยนเป็นระบอบกรรมสิทธิ์สาธารณะแห่งเกษตรกรรมสังคมนิยมอีก สหภาพโซเวียตได้ทำเช่นนี้แล้ว ทั่วโลกก็จะทำเช่นนี้ในอนาคตเช่นเดียวกัน. จากทรัพย์สินส่วนบุคคลมีสะพานทอดไปสู่ทรัพย์สินส่วนสาธารณะ ซึ่งในทางปรัชญาเรียกว่าลักษณะอย่างเดียวกัน  หรือการแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกัน หรือการแทรกซึมกัน.
การเสริมความมั่นคงให้แก่เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพหรือเผด็จการประชาชนนั้น ก็เพื่อเตรียมเงื่อนไขที่จะยกเลิกเผด็จการชนิดนี้และก้าวไปสู่ขั้นที่สูงขึ้นไปอีกซึ่งระบอบรัฐทุกระบอบถูกทำลายไปแล้ว. การก่อตั้งและการขยายพรรคคอมมิวนิสต์นั้น ก็เพื่อเตรียมเงื่อนไขที่จะทำลายพรรคคอมมิวนิสต์และระบอบพรรคการเมืองทั้งปวง. การสร้างกองทัพปฏิวัติที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์และดำเนินสงครามปฏิวัตินั้น ก็เพื่อเตรียมเงื่อนไขที่จะทำลายสงครามไปชั่วนิรันดร. สิ่งที่ตรงกันข้ามกันจำนวนมากเหล่านี้ ในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ประกอบซึ่งกันและกันด้วย.
ทุกคนรู้แล้วว่า สงครามกับสันติภาพแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกัน. สงครามแปรเปลี่ยนเป็นสันติภาพ เช่น สงครามโลกครั้งที่ ๑ แปรเปลี่ยนเป็นสันติภาพหลังสงคราม สงครามกลางเมืองของจีนเวลานี้ก็ยุติลงแล้ว และได้ปรากฏสันติภาพขึ้นภายในประเทศ. สันติภาพแปรเปลี่ยนเป็นสงคราม เช่น การร่วมมือระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์แปรเปลี่ยนเป็นสงครามเมื่อปี ๑๙๒๗ และสถานการณ์สันติภาพของโลกปัจจุบันก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้. เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เพราะว่าในสังคมชนชั้น สงครามกับสันติภาพซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันนี้ มีลักษณะอย่างเดียวกันภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ.
สิ่งที่ขัดแย้งกันทั้งปวงมีความเกี่ยวพันซึ่งกันและกัน มันไม่เพียงแต่อยู่ร่วมกันในองค์เอกภาพอันเดียวกันภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ เท่านั้น หากยังแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ ด้วย นี่คือความหมายทั้งหมดของลักษณะอย่างเดียวกันของความขัดแย้ง. ที่เลนินกล่าวว่า “กลายเป็นอย่างเดียวกันอย่างไร (เปลี่ยนเป็นอย่างเดียวกันอย่างไร)—มันแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันและกลายเป็นอย่างเดียวกันภายใต้เงื่อนไขอย่างไร” นั้น ก็คือความหมายอันนี้นี่เอง.
“เหตุใดสมองของคนเราจึงไม่ควรถือว่าความเป็นปรปักษ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ตายตัวหรือแข็งตัว หากควรถือว่าเป็นสิ่งที่มีชีวิตชีวา มีเงื่อนไข เปลี่ยนแปลงได้ และแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกัน”? เพราะว่าสรรพสิ่งทางภววิสัยนั้นที่จริงก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว. เอกภาพหรือลักษณะอย่างเดียวกันของด้านต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกันในสรรพสิ่งทางภววิสัยนั้น ที่จริงมิใช่สิ่งที่ตายตัวหรือแข็งตัว หากเป็นสิ่งที่มีชีวิตชีวา มีเงื่อนไข เปลี่ยนแปลงได้, เป็นอยู่ชั่วคราวและสัมพัทธ์ ความขัดแย้งทั้งปวงล้วนแต่แปรเปลี่ยนไปสู่ด้านตรงกันข้ามของมันโดยเงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ. สภาพการณ์เช่นนี้ เมื่อสะท้อนเข้ามาในความคิดของคนเรา ก็กลายเป็นโลกทรรศน์วิภาษวิธีวัตถุนิยมแห่งลัทธิมาร์กซ. มีแต่ชนชั้นปกครองปฏิกิริยาในปัจจุบันและในประวัติศาสตร์ตลอดจนอภิปรัชญาซึ่งรับใช้ชนชั้นเหล่านี้เท่านั้นที่ไม่มองสรรพสิ่งตรงกันข้ามเป็นสิ่งที่มีชีวิตชีวา มีเงื่อนไข, เปลี่ยนแปลงได้ และแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกัน หากมองเป็นสิ่งที่ตายตัวและแข็งตัว ทั้งนำเอาทรรศนะผิด ๆ ชนิดนี้ไปโฆษณาชวนเชื่อทั่วทุกหนทุกแห่ง หลอกมวลประชาชนให้หลงเชื่อ เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายในการให้มันได้ปกครองต่อไป. ภาระหน้าที่ของชาวพรรคคอมมิวนิสต์ก็คือ เปิดโปงความคิดที่ผิดของพวกปฏิกิริยาและอภิปรัชญา โฆษณาวิภาษวิธีซึ่งมีอยู่ในสรรพสิ่งมาแต่เดิม ส่งเสริมการแปรเปลี่ยนของสรรพสิ่ง, เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายแห่งการปฏิวัติ.
ที่เรียกว่าลักษณะอย่างเดียวกันของความขัดแย้งภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ นั้น หมายความว่า ความขัดแย้งที่เรากล่าวถึงนั้นเป็นความขัดแย้งที่เป็นจริง เป็นความขัดแย้งรูปธรรม และการแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันของความขัดแย้งก็เป็นสิ่งที่เป็นจริงและเป็นรูปธรรมด้วย. การเปลี่ยนแปลงจำนวนมากในเทพนิยาย เช่น “ควาฟู่ไล่ตามดวงอาทิตย์” ที่กล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง “ซานไห่จิง”๑๗ “ยี่ยิงดวงอาทิตย์ ๙ ดวง” ที่กล่าวไว้ในเรื่อง “หวายหนานจื่อ”๑๘ เห้งเจียแปลงกายได้ ๗๒ อย่างที่กล่าวไว้ในเรื่อง “ไซอิ๋ว”๑๙ และนิยายมากมายเกี่ยวกับภูตผีและปีศาจฮู่ลี้แปลงกายเป็นคนในเรื่อง “นิทานประหลาดจากเหลียวจาย”๒๐ เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงไปสู่กันและกันของความขัดแย้งที่กล่าวไว้ในเทพนิยายเหล่านี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไร้เดียงสา ที่เกิดจากจินตนาการและที่นึกฝันเอาอย่างอัตวิสัยอันเป็นผลซึ่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่กันและกันของความขัดแย้งที่เป็นจริงสลับซับซ้อนอันสุดจะคณนาได้ก่อให้เกิดขึ้นในใจของคนเรา หาใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมที่แสดงออกโดยความขัดแย้งรูปธรรมไม่.  มาร์กซกล่าวว่า “เทพนิยายใด ๆ ก็ตามล้วนแต่พิชิตพลังธรรมชาติ, ครอบงำพลังธรรมชาติและทำให้พลังธรรมชาติเป็นรูปเป็นร่างขึ้นด้วยจินตนาการและโดยอาศัยจินตนาการ; ดังนั้น เมื่อใดพลังธรรมชาติเหล่านี้ถูกครอบงำในทางเป็นจริง เมื่อนั้นเทพนิยายก็สูญสิ้นตามไปด้วย.”๒๑  แม้ว่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงร้อยแปดพันอย่างในเทพนิยาย (และในนิทานสำหรับเด็กด้วย) เหล่านี้ สามารถจะดึงดูดความนิยมชมชอบของคนทั้งหลายเพราะมันได้สร้างจินตนาการที่มนุษย์พิชิตพลังธรรมชาติ ฯลฯ และทั้งเทพนิยายที่ยอดเยี่ยมก็มี “เสน่ห์ชั่วกาลปาวสาน” (มาร์กซ) ก็ตาม แต่เทพนิยายก็มิใช่ประกอบขึ้นโดยอาศัยเงื่อนไขที่แน่นอนของความขัดแย้งรูปธรรม ฉะนั้น มันจึงมิใช่เป็นการสะท้อนอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ของความเป็นจริง. ทั้งนี้หมายความว่า ด้านต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นจากความขัดแย้งในเทพนิยายหรือนิทานสำหรับเด็กนั้น มิใช่เป็นลักษณะอย่างเดียวกันที่เป็นรูปธรรม หากเป็นเพียงลักษณะอย่างเดียวกันที่เพ้อฝันเท่านั้น. สิ่งที่สะท้อนอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ในลักษณะอย่างเดียวกันของการเปลี่ยนแปลงที่เป็นจริงนั้น คือวิภาษวิธีแห่งลัทธิมาร์กซ.
เหตุใดไข่ไก่จึงแปรเปลี่ยนเป็นลูกไก่ได้ แต่ถ้าก้อนหินแปรเปลี่ยนเป็นลูกไก่ไม่ได้? เหตุใดสงครามกับสันติภาพจึงมีลักษณะอย่างเดียวกัน แต่สงครามกับก้อนหินไม่มีลักษณะอย่างเดียวกัน? เหตุใดคนจึงออกลูกเป็นคน แต่ออกลูกเป็นสิ่งอื่นไม่ได้? มิใช่อะไรอื่น หากเป็นเพราะลักษณะอย่างเดียวกันของความขัดแย้งจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขอันจำเป็นที่แน่นอนหนึ่ง ๆ. ถ้าขาดเงื่อนไขอันจำเป็นที่แน่นอนหนึ่ง ๆ แล้ว ก็จะไม่มีลักษณะอย่างเดียวกันใด ๆ เลย.
เหตุใดในรัสเซียการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนเดือนกุมภาพันธ์ปี ๑๙๑๗ จึงเชื่อมโยงโดยตรงกับการปฏิวัติสังคมนิยมชนชั้นกรรมาชีพเดือนตุลาคมปีเดียวกัน แต่การปฏิวัติชนชั้นนายทุนของฝรั่งเศสจึงมิได้เชื่อมโยงโดยตรงกับการปฏิวัติสังคมนิยม และคอมมูนปารีส4ปี ๑๘๗ต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด? เหตุใดระบอบเร่ร่อนเลี้ยงปศุสัตว์ของมองโกเลียและเอเซียกลางจึงได้เชื่อมโยงโดยตรงกับสังคมนิยม? เหตุใดการปฏิวัติของจีนจึงหลีกเลี่ยงอนาคตที่เป็นทุนนิยมและเชื่อมโยงโดยตรงกับสังคมนิยมได้ โดยไม่ต้องเดินหนทางเก่าแห่งประวัติศาสตร์ของประเทศตะวันตกและไม่ต้องผ่านระยะเผด็จการชนชั้นนายทุนระยะหนึ่ง? มิใช่อะไรอื่น ล้วนแต่เนื่องจากเงื่อนไขรูปธรรมในเวลานั้น. เมื่อเงื่อนไขอันจำเป็นที่แน่นอนพรักพร้อมแล้ว กระบวนการแห่งการพัฒนาของสรรพสิ่งก็เกิดความขัดแย้งที่แน่นอนหนึ่ง ๆ ขึ้น และความขัดแย้งชนิดนี้หรือเหล่านี้ก็ดำรงอยู่โดยอาศัยกัน ทั้งแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันด้วย มิฉะนั้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปไม่ได้.
ปัญหาลักษณะอย่างเดียวกันเป็นเช่นนี้. ถ้าเช่นนั้น, ลักษณะต่อสู้คืออะไร? และความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะอย่างเดียวกันกับลักษณะต่อสู้เป็นอย่างไร?
เลนินกล่าวว่า:
“เอกภาพ (ความตรงกัน ความเป็นอย่างเดียวกัน การรวมกัน) ของด้านตรงกันข้ามนั้นเป็นสิ่งที่มีเงื่อนไข, ชั่วขณะ เป็นไปชั่วคราวและสัมพัทธ์. การต่อสู้ของด้านตรงกันข้ามที่ผลักไสซึ่งกันและกันนั้นเป็นสิ่งสัมบูรณ์, เช่นเดียวกับที่การพัฒนาและการเคลื่อนไหวเป็นสิ่งสัมบูรณ์ฉะนั้น.”๒๒
 
คำพูดของเลนินตอนนี้หมายความว่ากะไร?
กระบวนการทั้งปวงล้วนแต่มีการเริ่มต้นและการสิ้นสุด, กระบวนการทั้งปวงล้วนแต่แปรเปลี่ยนไปเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับมัน. ลักษณะคงตัวของกระบวนการทั้งปวงเป็นสิ่งสัมพัทธ์, แต่ลักษณะแปรปรวนที่แปรเปลี่ยนจากกระบวนการหนึ่งเป็นอีกกระบวนการหนึ่งนั้นเป็นสิ่งสัมบูรณ์.
ไม่ว่าการเคลื่อนไหวของสิ่งใด ล้วนแต่ดำเนินไปในภาวะ ๒ ชนิด คือ ภาวะที่หยุดนิ่งอย่างสัมพัทธ์กับภาวะที่ปรวนแปรอย่างเด่นชัด. การเคลื่อนไหวของภาวะทั้งสองชนิดนี้ล้วนแต่เกิดจากการต่อสู้กันของปัจจัยที่ขัดแย้งกัน ๒ อย่างซึ่งมีอยู่ภายในสรรพสิ่ง. ในเวลาที่การเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งอยู่ในภาวะชนิดที่หนึ่ง มันก็เปลี่ยนแปลงแต่ทางปริมาณ หาได้เปลี่ยนแปลงทางคุณภาพไม่ ฉะนั้น จึงปรากฏออกมาในรูปโฉมที่คล้ายกับหยุดนิ่ง.  ในเวลาที่การเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งอยู่ในภาวะชนิดที่สอง มันก็ก้าวจากการเปลี่ยนแปลงทางปริมาณในภาวะชนิดที่หนึ่งไปสู่จุดสุดยอดจุดใดจุดหนึ่ง ทำให้สิ่งเอกภาพแยกตัว เกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพ ฉะนั้น จึงปรากฏออกมาในรูปโฉมที่เปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัด. สิ่งที่เราเห็นกันอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น เอกภาพ ความสามัคคี การร่วมกัน การปรองดองกัน ความสมดุล การตรึงกัน การยันกัน การหยุดนิ่ง ความคงตัว ความสม่ำเสมอ การเกาะตัว ความดึงดูด ฯลฯ นั้น ล้วนแต่เป็นรูปโฉมที่ปรากฏให้เห็นของสรรพสิ่งที่อยู่ในภาวะเปลี่ยนแปลงทางปริมาณ. ส่วนการแยกตัวของสิ่งเอกภาพ, นัยหนึ่ง การที่ภาวะต่าง ๆ เช่น ความสามัคคี การร่วมกัน การปรองดองกัน ความสมดุล การตรึงกัน การยันกัน การหยุดนิ่ง ความคงตัว ความสม่ำเสมอ การเกาะตัว ความดึงดูด ฯลฯ ถูกทำลายไปและเปลี่ยนไปเป็นภาวะที่ตรงกันข้ามนั้น ล้วนแต่เป็นรูปโฉมที่ปรากฏให้เห็นของสรรพสิ่งที่อยู่ในภาวะเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพ ที่อยู่ในการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านจากกระบวนการหนึ่งไปสู่อีกกระบวนการหนึ่ง. สรรพสิ่งย่อมแปรเปลี่ยนจากภาวะชนิดที่หนึ่งไปสู่ภาวะชนิดที่สองอยู่เรื่อย ๆ อย่างไม่ขาดสาย แต่การต่อสู้ของความขัดแย้งนั้นมีอยู่ในภาวะทั้งสองและบรรลุการแก้ความขัดโดยผ่านภาวะชนิดที่สอง. ดังนั้นจึงกล่าวว่า เอกภาพของด้านตรงกันข้ามนั้นเป็นสิ่งที่มีเงื่อนไข, เป็นไปชั่วคราวและสัมพัทธ์ ส่วนการต่อสู้ที่กีดกันซึ่งกันและกันของด้านตรงกันข้ามนั้นเป็นสิ่งสัมบูรณ์.
เราได้กล่าวในข้างต้นแล้วว่า ระหว่างสิ่งตรงกันข้าม ๒ สิ่งมีลักษณะอย่างเดียวกัน ดังนั้น สิ่งทั้งสองจึงอยู่ร่วมกันในองค์เอกภาพอันเดียวกันได้ และสามารถแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันได้ ทั้งนี้หมายถึงลักษณะเงื่อนไข กล่าวคือ ภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ สิ่งที่ขัดแย้งกันเป็นเอกภาพกันได้ และแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันได้ด้วย; ถ้าปราศจากเงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ นี้แล้ว ก็ไม่อาจจะประกอบขึ้นเป็นความขัดแย้งได้ ไม่อาจจะอยู่ร่วมกันได้ และก็ไม่อาจจะแปรเปลี่ยนได้. เนื่องจากมีเงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ จึงประกอบขึ้นเป็นลักษณะอย่างเดียวกันของความขัดแย้งได้ ฉะนั้นจึงกล่าวว่า ลักษณะอย่างเดียวกันนั้นเป็นสิ่งที่มีเงื่อนไขและสัมพัทธ์.  ในที่นี้เราก็กล่าวอีกว่า การต่อสู้ของความขัดแย้งซึมซ่านอยู่ในกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ และทำให้กระบวนการหนึ่งแปรเปลี่ยนไปสู่อีกกระบวนการหนึ่ง การต่อสู้ของความขัดแย้งมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง, ฉะนั้นจึงกล่าวว่า ลักษณะต่อสู้ของความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ไม่มีเงื่อนไขและสัมบูรณ์.
การประสานกันเข้าระหว่างลักษณะอย่างเดียวกันซึ่งมีเงื่อนไขและสัมพัทธ์กับลักษณะต่อสู้ซึ่งไม่มีเงื่อนไขและสัมบูรณ์นั้น ประกอบขึ้นเป็นการเคลื่อนไหวที่ขัดแย้งกันในสิ่งทั้งปวง.
ชาวจีนเรามักจะพูดกันเสมอว่า “ตรงกันข้ามและประกอบซึ่งกันและกัน.”๒๓ ทั้งนี้หมายความว่า สิ่งที่ตรงกันข้ามกันมีลักษณะอย่างเดียวกัน. คำ ๆ นี้เป็นวิภาษวิธี และขัดกับอภิปรัชญา. “ตรงกันข้ามกัน” นั้นหมายความว่า ด้านที่ขัดแย้งกัน ๒ ด้านผลักไสซึ่งกันและกันหรือต่อสู้กัน. “ประกอบซึ่งกันและกัน” นั้นหมายความว่า ภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ, ด้านที่ขัดแย้งกัน ๒ ด้านเกี่ยวพันกัน และได้มาซึ่งลักษณะอย่างเดียวกัน. และลักษณะต่อสู้ก็แฝงอยู่ในลักษณะอย่างเดียวกัน, ถ้าปราศจากลักษณะต่อสู้ ก็จะไม่มีลักษณะอย่างเดียวกัน.
ในลักษณะอย่างเดียวกันมีลักษณะต่อสู้ ในลักษณะเฉพาะมีลักษณะทั่วไป ในลักษณะจำเพาะมีลักษณะร่วม. กล่าวตามคำของเลนินก็คือ “ในสิ่งสัมพัทธ์มีสิ่งสัมบูรณ์”.๒๔
 

๕. ลักษณะอย่างเดียวกันกับลักษณะต่อสู้

ของด้านต่าง ๆ ของความขัดแย้ง

 

          เมื่อเข้าใจปัญหาลักษณะทั่วไปกับลักษณะเฉพาะของความขัดแย้งแล้ว เราจะต้องก้าวไปสู่การค้นคว้าปัญหาลักษณะอย่างเดียวกันกับลักษณะต่อสู้ของด้านต่าง ๆ ของความขัดแย้ง. 

          ลักษณะอย่างเดียวกัน ลักษณะเอกภาพ ลักษณะตรงกัน, การแทรกซึมกัน การบรรลุสู่กัน การพึ่งพาอาศัยกัน (หรือการดำรงอยู่โดยอาศัยกัน) การเกี่ยวพันกัน หรือการร่วมมือกัน, คำที่ต่างกันเหล่านี้มีความหมายอย่างเดียวกันทั้งสิ้น ซึ่งหมายถึงสภาพ ๒ อย่างดังต่อไปนี้ คือ ประการแรก ด้าน ๒ ด้านของความขัดแย้งแต่ละชนิดในกระบวนการแห่งการพัฒนาของสรรพสิ่ง ต่างถือเอาด้านตรงกันข้ามกับตนเป็นเงื่อนไขเบื้องแรกในการดำรงอยู่ของตน และทั้งสองด้านต่างก็อยู่ร่วมกันในองค์เอกภาพอันเดียวกัน; ประการที่สอง ด้าน ๒ด้านที่ขัดแย้งกัน ต่างแปรเปลี่ยนไปสู่ด้านตรงกันข้ามกับตนโดยอาศัยเงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ. เหล่านี้คือสิ่งที่เรียกว่าลักษณะอย่างเดียวกัน. 

           เลนินกล่าวว่า:

 

          “วิภาษวิธีคือคำสอนที่ค้นคว้าว่า ความเป็นปรปักษ์สามารถเป็นอย่างเดียวกันได้อย่างไร และกลายเป็นอย่างเดียวกัน
          อย่างไร (เปลี่ยนเป็นอย่างเดียวกันอย่างไร)—มันแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันและกลายเป็นอย่างเดียวกันภายใต้เงื่อนไข
          อย่างไร—เหตุใดสมองของคนเราจึงไม่ควรถือว่าความเป็นปรปักษ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ตายตัวหรือแข็งตัว, หากควรถือว่าเป็นสิ่งที่มี
          ชีวิตชีวา มีเงื่อนไข เปลี่ยนแปลงได้ และแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกัน.”๑๖


          คำพูดของเลนินตอนนี้หมายความว่ากะไร? 

          ด้านต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกันในกระบวนการทั้งปวงนั้น ที่จริงต่างผลักไสซึ่งกันและกัน ต่อสู้กัน และเป็นปรปักษ์กัน. ในกระบวนการของสิ่งทั้งปวงในโลกและในความคิดของคนเรา, ล้วนมีแต่ด้านที่มีลักษณะขัดแย้งเช่นนี้อยู่โดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ ทั้งสิ้น. กระบวนการที่ง่าย ๆ มีความขัดแย้งเพียงคู่เดียว ส่วนกระบวนการที่สลับซับซ้อนนั้นมีความขัดแย้งมากกว่าหนึ่งคู่ขึ้นไป. ระหว่างความขัดแย้งแต่ละคู่ ก็ยังขัดแย้งกันอีก. เหล่านี้แหละที่ประกอบขึ้นเป็นสิ่งทั้งปวงในโลกภววิสัยและความคิดของคนเรา และผลักดันให้มันเกิดการเคลื่อนไหว. 

          เมื่อเป็นเช่นนี้ มันก็ไม่เป็นอย่างเดียวกันอย่างยิ่ง ไม่เป็นเอกภาพกันอย่างยิ่ง ไฉนจึงพูดว่าเป็นอย่างเดียวกันหรือเป็นเอกภาพกันเล่า? 

          แท้ที่จริงด้านต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกันอยู่นั้นจะดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ได้. ถ้าปราศจากด้านของความขัดแย้งที่เป็นคู่ของมันแล้ว ด้านของมันเองก็จะสูญเสียเงื่อนไขที่จะดำรงอยู่. ลองคิดดูว่า สิ่งที่ขัดแย้งกันทั้งปวงหรือจินตภาพที่ขัดแย้งกันในใจของคนเรานั้น ด้านใดก็ตามจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างเป็นอิสระหรือ? ไม่มีการเกิดก็ไม่มีการตาย ไม่มีการตายก็ไม่มีการเกิด. ไม่มีข้างบนก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าข้างล่าง ไม่มีข้างก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าข้างบน. ไม่มีความวิบัติก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความผาสุก ไม่มีความผาสุกก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความวิบัติ. ไม่มีความราบรื่นก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความยากลำบาก ไม่มีความยากลำบากก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความราบรื่น. ไม่มีเจ้าที่ดินก็ไม่มีลูกนา ไม่มีลูกนาก็ไม่มีเจ้าที่ดิน. ไม่มีชนชั้นนายทุนก็ไม่มีชนชั้นกรรมาชีพ ไม่มีชนชั้นกรรมาชีพก็ไม่มีชนชั้นนายทุน. ไม่มีการกดขี่ทางประชาชาติของจักรพรรดินิยมก็ไม่มีเมืองขึ้นและกึ่งเมืองขึ้น ไม่มีเมืองขึ้นและกึ่งเมืองขึ้นก็ไม่มีการกดขี่ทางประชาชาติของจักรพรรดินิยม. ส่วนที่ตรงกันข้ามทั้งปวงเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น เนื่องจากเงื่อนไขที่แน่นอน ด้านหนึ่งเป็นปรปักษ์กัน อีกด้านหนึ่งก็เกี่ยวพันกัน บรรลุสู่กัน แทรกซึมกันและพึ่งพาอาศัยกัน ลักษณะชนิดนี้เรียกว่าลักษณะอย่างเดียวกัน. ด้านที่ขัดแย้งกันทั้งปวงก็ล้วนแต่เพียบพร้อมด้วยลักษณะไม่เป็นอย่างเดียวกันเพราะเงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ, ดังนั้นจึงเรียกว่าความขัดแย้ง. แต่ก็เพียบพร้อมด้วยลักษณะอย่างเดียวกัน ดังนั้นจึงเกี่ยวพันกัน. ที่เลนินกล่าวว่าวิภาษวิธีค้นคว้า “ความเป็นปรปักษ์สามารถเป็นอย่างเดียวกันได้อย่างไร” นั้น ก็หมายถึงสภาพเช่นนี้นั่นเอง. จะเป็นได้อย่างไร? เป็นได้เพราะต่างเป็นเงื่อนไขในการดำรงอยู่ของกันและกัน. นี่คือความหมายประการแรกของลักษณะอย่างเดียวกัน. 

          แต่เพียงกล่าวว่าด้าน ๒ ด้านของความขัดแย้งเป็นเงื่อนไขในการดำรงอยู่ของกันและกัน ระหว่างด้านทั้งสองมีลักษณะอย่างเดียวกัน จึงอยู่ร่วมกันได้ในองค์เอกภาพอันเดียวกันเช่นนี้ เป็นการเพียงพอแล้วหรือ? ยังไม่เพียงพอ. เรื่องมิใช่หมดกันเพียงแค่ว่าด้าน ๒ ด้านของความขัดแย้งดำรงอยู่โดยอาศัยกันเท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่านี้ยังอยู่ที่การแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันของสรรพสิ่งซึ่งขัดแย้งกัน. หมายความว่า ด้าน ๒ ด้านที่ขัดแย้งกันของภายในของสรรพสิ่งต่างแปรเปลี่ยนไปสู่ด้านที่ตรงกันข้ามกับตน แปรเปลี่ยนไปสู่ฐานะที่ด้านตรงกันข้ามของมันครองอยู่เพราะเงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ นี่คือความหมายประการที่สองของลักษณะอย่างเดียวกันของความขัดแย้ง. 

          เหตุใดในที่นี้จึงมีลักษณะอย่างเดียวกันด้วยเล่า? ท่านทั้งหลายโปรดดูเถิด ชนชั้นกรรมาชีพซึ่งถูกปกครองแปรเปลี่ยนเป็นผู้ครองอำนาจโดยผ่านการปฏิวัติ ชนชั้นนายทุนซึ่งเดิมเป็นผู้ครองอำนาจกลับแปรเปลี่ยนเป็นผู้ถูกปกครอง แปรเปลี่ยนไปสู่ฐานะที่เดิมทีฝ่ายตรงกันข้ามครองอยู่. ในสหภาพโซเวียตได้ทำเช่นนี้แล้ว ทั่วโลกก็จะทำเช่นนี้เช่นเดียวกัน. ขอถามว่า ถ้าไม่มีความสัมพันธ์และลักษณะอย่างเดียวกันในระหว่างสิ่งเหล่านี้ภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ แล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้อย่างไร? 

          พรรคก๊กมินตั๋งซึ่งเคยมีบทบาทเอาการเอางานบางอย่างในขั้นที่แน่นอนขั้นหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคใกล้ของจีนนั้น ได้แปรเปลี่ยนเป็นฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติภายหลังปี ๑๙๒๗ เพราะลักษระชนชั้นที่มีอยู่เดิมของมันและการล่อใจของจักรพรรดินิยม (เหล่านี้คือเงื่อนไข) และพรรคนี้ได้ถูกบังคับให้เห็นด้วยกับการต่อต้านญี่ปุ่นเพราะความขัดแย้งระหว่างจีนกับญี่ปุ่นแหลมคมขึ้นและเพราะนโยบายแนวร่วมของพรรคคอมมิวนิสต์ (เหล่านี้คือเงื่อนไข). การที่สิ่งที่ขัดแย้งกันเปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งนั้น ก็ด้วยมีลักษณะอย่างเดียวกันที่แน่นอนอยู่ในนั้น. 

          การปฏิวัติที่ดินที่เราดำเนินมาแล้ว ได้เป็นและก็ยังจะเป็นกระบวนการดังนี้ คือ ชนชั้นเจ้าที่ดินซึ่งมีที่ดินแปรแปลี่ยนเป็นชนชั้นที่สูญเสียที่ดิน ส่วนชาวนาซึ่งเคยสูญเสียที่ดินกลับแปรเปลี่ยนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลขนาดย่อมที่ได้ที่ดิน. ระหว่างการมีกับการไม่มี การได้กับการเสีย มีความเกี่ยวพันกันเพราะเงื่อนไขที่แน่นอน ด้านทั้งสองจึงมีลักษณะอย่างเดียวกัน. ภายใต้เงื่อนไขสังคมนิยม ระบอบกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลของชาวนาก็จะแปรเปลี่ยนเป็นระบอบกรรมสิทธิ์สาธารณะแห่งเกษตรกรรมสังคมนิยมอีก สหภาพโซเวียตได้ทำเช่นนี้แล้ว ทั่วโลกก็จะทำเช่นนี้ในอนาคตเช่นเดียวกัน. จากทรัพย์สินส่วนบุคคลมีสะพานทอดไปสู่ทรัพย์สินส่วนสาธารณะ ซึ่งในทางปรัชญาเรียกว่าลักษณะอย่างเดียวกัน  หรือการแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกัน หรือการแทรกซึมกัน. 

          การเสริมความมั่นคงให้แก่เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพหรือเผด็จการประชาชนนั้น ก็เพื่อเตรียมเงื่อนไขที่จะยกเลิกเผด็จการชนิดนี้และก้าวไปสู่ขั้นที่สูงขึ้นไปอีกซึ่งระบอบรัฐทุกระบอบถูกทำลายไปแล้ว. การก่อตั้งและการขยายพรรคคอมมิวนิสต์นั้น ก็เพื่อเตรียมเงื่อนไขที่จะทำลายพรรคคอมมิวนิสต์และระบอบพรรคการเมืองทั้งปวง. การสร้างกองทัพปฏิวัติที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์และดำเนินสงครามปฏิวัตินั้น ก็เพื่อเตรียมเงื่อนไขที่จะทำลายสงครามไปชั่วนิรันดร. สิ่งที่ตรงกันข้ามกันจำนวนมากเหล่านี้ ในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ประกอบซึ่งกันและกันด้วย. 

          ทุกคนรู้แล้วว่า สงครามกับสันติภาพแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกัน. สงครามแปรเปลี่ยนเป็นสันติภาพ เช่น สงครามโลกครั้งที่ ๑ แปรเปลี่ยนเป็นสันติภาพหลังสงคราม สงครามกลางเมืองของจีนเวลานี้ก็ยุติลงแล้ว และได้ปรากฏสันติภาพขึ้นภายในประเทศ. สันติภาพแปรเปลี่ยนเป็นสงคราม เช่น การร่วมมือระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์แปรเปลี่ยนเป็นสงครามเมื่อปี ๑๙๒๗ และสถานการณ์สันติภาพของโลกปัจจุบันก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้. เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เพราะว่าในสังคมชนชั้น สงครามกับสันติภาพซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันนี้ มีลักษณะอย่างเดียวกันภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ. 

          สิ่งที่ขัดแย้งกันทั้งปวงมีความเกี่ยวพันซึ่งกันและกัน มันไม่เพียงแต่อยู่ร่วมกันในองค์เอกภาพอันเดียวกันภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ เท่านั้น หากยังแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ ด้วย นี่คือความหมายทั้งหมดของลักษณะอย่างเดียวกันของความขัดแย้ง. ที่เลนินกล่าวว่า “กลายเป็นอย่างเดียวกันอย่างไร (เปลี่ยนเป็นอย่างเดียวกันอย่างไร)—มันแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันและกลายเป็นอย่างเดียวกันภายใต้เงื่อนไขอย่างไร” นั้น ก็คือความหมายอันนี้นี่เอง. 

          “เหตุใดสมองของคนเราจึงไม่ควรถือว่าความเป็นปรปักษ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ตายตัวหรือแข็งตัว หากควรถือว่าเป็นสิ่งที่มีชีวิตชีวา มีเงื่อนไข เปลี่ยนแปลงได้ และแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกัน”? เพราะว่าสรรพสิ่งทางภววิสัยนั้นที่จริงก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว. เอกภาพหรือลักษณะอย่างเดียวกันของด้านต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกันในสรรพสิ่งทางภววิสัยนั้น ที่จริงมิใช่สิ่งที่ตายตัวหรือแข็งตัว หากเป็นสิ่งที่มีชีวิตชีวา มีเงื่อนไข เปลี่ยนแปลงได้, เป็นอยู่ชั่วคราวและสัมพัทธ์ ความขัดแย้งทั้งปวงล้วนแต่แปรเปลี่ยนไปสู่ด้านตรงกันข้ามของมันโดยเงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ. สภาพการณ์เช่นนี้ เมื่อสะท้อนเข้ามาในความคิดของคนเรา ก็กลายเป็นโลกทรรศน์วิภาษวิธีวัตถุนิยมแห่งลัทธิมาร์กซ. มีแต่ชนชั้นปกครองปฏิกิริยาในปัจจุบันและในประวัติศาสตร์ตลอดจนอภิปรัชญาซึ่งรับใช้ชนชั้นเหล่านี้เท่านั้นที่ไม่มองสรรพสิ่งตรงกันข้ามเป็นสิ่งที่มีชีวิตชีวา มีเงื่อนไข, เปลี่ยนแปลงได้ และแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกัน หากมองเป็นสิ่งที่ตายตัวและแข็งตัว ทั้งนำเอาทรรศนะผิด ๆ ชนิดนี้ไปโฆษณาชวนเชื่อทั่วทุกหนทุกแห่ง หลอกมวลประชาชนให้หลงเชื่อ เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายในการให้มันได้ปกครองต่อไป. ภาระหน้าที่ของชาวพรรคคอมมิวนิสต์ก็คือ เปิดโปงความคิดที่ผิดของพวกปฏิกิริยาและอภิปรัชญา โฆษณาวิภาษวิธีซึ่งมีอยู่ในสรรพสิ่งมาแต่เดิม ส่งเสริมการแปรเปลี่ยนของสรรพสิ่ง, เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายแห่งการปฏิวัติ. 

          ที่เรียกว่าลักษณะอย่างเดียวกันของความขัดแย้งภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ นั้น หมายความว่า ความขัดแย้งที่เรากล่าวถึงนั้นเป็นความขัดแย้งที่เป็นจริง เป็นความขัดแย้งรูปธรรม และการแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันของความขัดแย้งก็เป็นสิ่งที่เป็นจริงและเป็นรูปธรรมด้วย. การเปลี่ยนแปลงจำนวนมากในเทพนิยาย เช่น “ควาฟู่ไล่ตามดวงอาทิตย์” ที่กล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง “ซานไห่จิง”๑๗ “ยี่ยิงดวงอาทิตย์ ๙ ดวง” ที่กล่าวไว้ในเรื่อง “หวายหนานจื่อ”๑๘ เห้งเจียแปลงกายได้ ๗๒ อย่างที่กล่าวไว้ในเรื่อง “ไซอิ๋ว”๑๙ และนิยายมากมายเกี่ยวกับภูตผีและปีศาจฮู่ลี้แปลงกายเป็นคนในเรื่อง “นิทานประหลาดจากเหลียวจาย”๒๐ เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงไปสู่กันและกันของความขัดแย้งที่กล่าวไว้ในเทพนิยายเหล่านี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไร้เดียงสา ที่เกิดจากจินตนาการและที่นึกฝันเอาอย่างอัตวิสัยอันเป็นผลซึ่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่กันและกันของความขัดแย้งที่เป็นจริงสลับซับซ้อนอันสุดจะคณนาได้ก่อให้เกิดขึ้นในใจของคนเรา หาใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมที่แสดงออกโดยความขัดแย้งรูปธรรมไม่.  มาร์กซกล่าวว่า “เทพนิยายใด ๆ ก็ตามล้วนแต่พิชิตพลังธรรมชาติ, ครอบงำพลังธรรมชาติและทำให้พลังธรรมชาติเป็นรูปเป็นร่างขึ้นด้วยจินตนาการและโดยอาศัยจินตนาการ; ดังนั้น เมื่อใดพลังธรรมชาติเหล่านี้ถูกครอบงำในทางเป็นจริง เมื่อนั้นเทพนิยายก็สูญสิ้นตามไปด้วย.”๒๑  แม้ว่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงร้อยแปดพันอย่างในเทพนิยาย (และในนิทานสำหรับเด็กด้วย) เหล่านี้ สามารถจะดึงดูดความนิยมชมชอบของคนทั้งหลายเพราะมันได้สร้างจินตนาการที่มนุษย์พิชิตพลังธรรมชาติ ฯลฯ และทั้งเทพนิยายที่ยอดเยี่ยมก็มี “เสน่ห์ชั่วกาลปาวสาน” (มาร์กซ) ก็ตาม แต่เทพนิยายก็มิใช่ประกอบขึ้นโดยอาศัยเงื่อนไขที่แน่นอนของความขัดแย้งรูปธรรม ฉะนั้น มันจึงมิใช่เป็นการสะท้อนอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ของความเป็นจริง. ทั้งนี้หมายความว่า ด้านต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นจากความขัดแย้งในเทพนิยายหรือนิทานสำหรับเด็กนั้น มิใช่เป็นลักษณะอย่างเดียวกันที่เป็นรูปธรรม หากเป็นเพียงลักษณะอย่างเดียวกันที่เพ้อฝันเท่านั้น. สิ่งที่สะท้อนอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ในลักษณะอย่างเดียวกันของการเปลี่ยนแปลงที่เป็นจริงนั้น คือวิภาษวิธีแห่งลัทธิมาร์กซ. 

          เหตุใดไข่ไก่จึงแปรเปลี่ยนเป็นลูกไก่ได้ แต่ถ้าก้อนหินแปรเปลี่ยนเป็นลูกไก่ไม่ได้? เหตุใดสงครามกับสันติภาพจึงมีลักษณะอย่างเดียวกัน แต่สงครามกับก้อนหินไม่มีลักษณะอย่างเดียวกัน? เหตุใดคนจึงออกลูกเป็นคน แต่ออกลูกเป็นสิ่งอื่นไม่ได้? มิใช่อะไรอื่น หากเป็นเพราะลักษณะอย่างเดียวกันของความขัดแย้งจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขอันจำเป็นที่แน่นอนหนึ่ง ๆ. ถ้าขาดเงื่อนไขอันจำเป็นที่แน่นอนหนึ่ง ๆ แล้ว ก็จะไม่มีลักษณะอย่างเดียวกันใด ๆ เลย. 

          เหตุใดในรัสเซียการปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุนเดือนกุมภาพันธ์ปี ๑๙๑๗ จึงเชื่อมโยงโดยตรงกับการปฏิวัติสังคมนิยมชนชั้นกรรมาชีพเดือนตุลาคมปีเดียวกัน แต่การปฏิวัติชนชั้นนายทุนของฝรั่งเศสจึงมิได้เชื่อมโยงโดยตรงกับการปฏิวัติสังคมนิยม และคอมมูนปารีส4ปี ๑๘๗ต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด? เหตุใดระบอบเร่ร่อนเลี้ยงปศุสัตว์ของมองโกเลียและเอเซียกลางจึงได้เชื่อมโยงโดยตรงกับสังคมนิยม? เหตุใดการปฏิวัติของจีนจึงหลีกเลี่ยงอนาคตที่เป็นทุนนิยมและเชื่อมโยงโดยตรงกับสังคมนิยมได้ โดยไม่ต้องเดินหนทางเก่าแห่งประวัติศาสตร์ของประเทศตะวันตกและไม่ต้องผ่านระยะเผด็จการชนชั้นนายทุนระยะหนึ่ง? มิใช่อะไรอื่น ล้วนแต่เนื่องจากเงื่อนไขรูปธรรมในเวลานั้น. เมื่อเงื่อนไขอันจำเป็นที่แน่นอนพรักพร้อมแล้ว กระบวนการแห่งการพัฒนาของสรรพสิ่งก็เกิดความขัดแย้งที่แน่นอนหนึ่ง ๆ ขึ้น และความขัดแย้งชนิดนี้หรือเหล่านี้ก็ดำรงอยู่โดยอาศัยกัน ทั้งแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันด้วย มิฉะนั้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปไม่ได้. 

          ปัญหาลักษณะอย่างเดียวกันเป็นเช่นนี้. ถ้าเช่นนั้น, ลักษณะต่อสู้คืออะไร? และความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะอย่างเดียวกันกับลักษณะต่อสู้เป็นอย่างไร? 

          เลนินกล่าวว่า:  

               “เอกภาพ (ความตรงกัน ความเป็นอย่างเดียวกัน การรวมกัน) ของด้านตรงกันข้ามนั้นเป็นสิ่งที่มีเงื่อนไข, ชั่วขณะ เป็นไป
          ชั่วคราวและสัมพัทธ์. การต่อสู้ของด้านตรงกันข้ามที่ผลักไสซึ่งกันและกันนั้นเป็นสิ่งสัมบูรณ์, เช่นเดียวกับที่การพัฒนาและการ
          เคลื่อนไหวเป็นสิ่งสัมบูรณ์ฉะนั้น.”๒๒

 

         คำพูดของเลนินตอนนี้หมายความว่ากะไร? 

         กระบวนการทั้งปวงล้วนแต่มีการเริ่มต้นและการสิ้นสุด, กระบวนการทั้งปวงล้วนแต่แปรเปลี่ยนไปเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับมัน. ลักษณะคงตัวของกระบวนการทั้งปวงเป็นสิ่งสัมพัทธ์, แต่ลักษณะแปรปรวนที่แปรเปลี่ยนจากกระบวนการหนึ่งเป็นอีกกระบวนการหนึ่งนั้นเป็นสิ่งสัมบูรณ์. 

          ไม่ว่าการเคลื่อนไหวของสิ่งใด ล้วนแต่ดำเนินไปในภาวะ ๒ ชนิด คือ ภาวะที่หยุดนิ่งอย่างสัมพัทธ์กับภาวะที่ปรวนแปรอย่างเด่นชัด. การเคลื่อนไหวของภาวะทั้งสองชนิดนี้ล้วนแต่เกิดจากการต่อสู้กันของปัจจัยที่ขัดแย้งกัน ๒ อย่างซึ่งมีอยู่ภายในสรรพสิ่ง. ในเวลาที่การเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งอยู่ในภาวะชนิดที่หนึ่ง มันก็เปลี่ยนแปลงแต่ทางปริมาณ หาได้เปลี่ยนแปลงทางคุณภาพไม่ ฉะนั้น จึงปรากฏออกมาในรูปโฉมที่คล้ายกับหยุดนิ่ง.  ในเวลาที่การเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งอยู่ในภาวะชนิดที่สอง มันก็ก้าวจากการเปลี่ยนแปลงทางปริมาณในภาวะชนิดที่หนึ่งไปสู่จุดสุดยอดจุดใดจุดหนึ่ง ทำให้สิ่งเอกภาพแยกตัว เกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพ ฉะนั้น จึงปรากฏออกมาในรูปโฉมที่เปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัด. สิ่งที่เราเห็นกันอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น เอกภาพ ความสามัคคี การร่วมกัน การปรองดองกัน ความสมดุล การตรึงกัน การยันกัน การหยุดนิ่ง ความคงตัว ความสม่ำเสมอ การเกาะตัว ความดึงดูด ฯลฯ นั้น ล้วนแต่เป็นรูปโฉมที่ปรากฏให้เห็นของสรรพสิ่งที่อยู่ในภาวะเปลี่ยนแปลงทางปริมาณ. ส่วนการแยกตัวของสิ่งเอกภาพ, นัยหนึ่ง การที่ภาวะต่าง ๆ เช่น ความสามัคคี การร่วมกัน การปรองดองกัน ความสมดุล การตรึงกัน การยันกัน การหยุดนิ่ง ความคงตัว ความสม่ำเสมอ การเกาะตัว ความดึงดูด ฯลฯ ถูกทำลายไปและเปลี่ยนไปเป็นภาวะที่ตรงกันข้ามนั้น ล้วนแต่เป็นรูปโฉมที่ปรากฏให้เห็นของสรรพสิ่งที่อยู่ในภาวะเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพ ที่อยู่ในการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านจากกระบวนการหนึ่งไปสู่อีกกระบวนการหนึ่ง. สรรพสิ่งย่อมแปรเปลี่ยนจากภาวะชนิดที่หนึ่งไปสู่ภาวะชนิดที่สองอยู่เรื่อย ๆ อย่างไม่ขาดสาย แต่การต่อสู้ของความขัดแย้งนั้นมีอยู่ในภาวะทั้งสองและบรรลุการแก้ความขัดโดยผ่านภาวะชนิดที่สอง. ดังนั้นจึงกล่าวว่า เอกภาพของด้านตรงกันข้ามนั้นเป็นสิ่งที่มีเงื่อนไข, เป็นไปชั่วคราวและสัมพัทธ์ ส่วนการต่อสู้ที่กีดกันซึ่งกันและกันของด้านตรงกันข้ามนั้นเป็นสิ่งสัมบูรณ์. 

          เราได้กล่าวในข้างต้นแล้วว่า ระหว่างสิ่งตรงกันข้าม ๒ สิ่งมีลักษณะอย่างเดียวกัน ดังนั้น สิ่งทั้งสองจึงอยู่ร่วมกันในองค์เอกภาพอันเดียวกันได้ และสามารถแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันได้ ทั้งนี้หมายถึงลักษณะเงื่อนไข กล่าวคือ ภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ สิ่งที่ขัดแย้งกันเป็นเอกภาพกันได้ และแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันได้ด้วย; ถ้าปราศจากเงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ นี้แล้ว ก็ไม่อาจจะประกอบขึ้นเป็นความขัดแย้งได้ ไม่อาจจะอยู่ร่วมกันได้ และก็ไม่อาจจะแปรเปลี่ยนได้. เนื่องจากมีเงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ จึงประกอบขึ้นเป็นลักษณะอย่างเดียวกันของความขัดแย้งได้ ฉะนั้นจึงกล่าวว่า ลักษณะอย่างเดียวกันนั้นเป็นสิ่งที่มีเงื่อนไขและสัมพัทธ์. ในที่นี้เราก็กล่าวอีกว่า การต่อสู้ของความขัดแย้งซึมซ่านอยู่ในกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ และทำให้กระบวนการหนึ่งแปรเปลี่ยนไปสู่อีกกระบวนการหนึ่ง การต่อสู้ของความขัดแย้งมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง, ฉะนั้นจึงกล่าวว่า ลักษณะต่อสู้ของความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ไม่มีเงื่อนไขและสัมบูรณ์. 

          การประสานกันเข้าระหว่างลักษณะอย่างเดียวกันซึ่งมีเงื่อนไขและสัมพัทธ์กับลักษณะต่อสู้ซึ่งไม่มีเงื่อนไขและสัมบูรณ์นั้น ประกอบขึ้นเป็นการเคลื่อนไหวที่ขัดแย้งกันในสิ่งทั้งปวง. 

          ชาวจีนเรามักจะพูดกันเสมอว่า “ตรงกันข้ามและประกอบซึ่งกันและกัน.”๒๓ ทั้งนี้หมายความว่า สิ่งที่ตรงกันข้ามกันมีลักษณะอย่างเดียวกัน. คำ ๆ นี้เป็นวิภาษวิธี และขัดกับอภิปรัชญา. “ตรงกันข้ามกัน” นั้นหมายความว่า ด้านที่ขัดแย้งกัน ๒ ด้านผลักไสซึ่งกันและกันหรือต่อสู้กัน. “ประกอบซึ่งกันและกัน” นั้นหมายความว่า ภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ, ด้านที่ขัดแย้งกัน ๒ ด้านเกี่ยวพันกัน และได้มาซึ่งลักษณะอย่างเดียวกัน. และลักษณะต่อสู้ก็แฝงอยู่ในลักษณะอย่างเดียวกัน, ถ้าปราศจากลักษณะต่อสู้ ก็จะไม่มีลักษณะอย่างเดียวกัน. 

          ในลักษณะอย่างเดียวกันมีลักษณะต่อสู้ ในลักษณะเฉพาะมีลักษณะทั่วไป ในลักษณะจำเพาะมีลักษณะร่วม. กล่าวตามคำของเลนินก็คือ “ในสิ่งสัมพัทธ์มีสิ่งสัมบูรณ์”.๒๔

 

 

๖. ฐานะของความเป็นปฏิปักษ์กันในความขัดแย้ง

 

๖. ฐานะของความเป็นปฏิปักษ์กันในความขัดแย้ง
 
ในปัญหาลักษณะต่อสู้ของความขัดแย้ง รวมถึงปัญหาที่ว่าความเป็นปฏิปักษ์กันคืออะไรด้วย. คำตอบของเราคือ ความเป็นปฏิปักษ์กันเป็นรูปแบบชนิดหนึ่งของการต่อสู้ของความขัดแย้ง มิใช่รูปแบบทั้งหมดของการต่อสู้ของความขัดแย้ง.
ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ มีความเป็นปฏิปักษ์กันระหว่างชนชั้นดำรงอยู่ ทั้งนี้เป็นการแสดงออกชนิดหนึ่งที่เป็นเฉพาะของการต่อสู้ของความขัดแย้ง. ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นขูดรีดกับชนชั้นถูกขูดรีด ไม่ว่าในสังคมทาสก็ดี สังคมศักดินาก็ดี หรือสังคมทุนนิยมก็ดี ชนชั้นทั้งสองที่ขัดแย้งกันนี้ อยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกันเป็นเวลายาวนาน พวกเขาต่อสู้กัน, แต่ต้องรอจนกว่าความขัดแย้งระหว่างชนชั้นทั้งสองพัฒนาไปถึงขั้นที่แน่นอนหนึ่งๆ แล้ว ทั้งสองฝ่ายจึงจะใช้รูปแบบที่เป็นปฏิปักษ์กันภายนอกและพัฒนาเป็นการปฏิวัติ. ในสังคมชนชั้นการแปรเปลี่ยนจากสันติภาพไปสู่สงคราม ก็เป็นเช่นนี้.
เวลาที่ลูกระเบิดยังไม่ระเบิด เป็นเวลาที่สิ่งขัดแย้งกันอยู่ร่วมกันในองค์เอกภาพอันเดียวกันเพราะเงื่อนไขที่แน่นอน. ต่อเมื่อเงื่อนไขใหม่ (การจุดชนวน) ปรากฏขึ้นแล้ว จึงจะเกิดการระเบิด. ปรากฏการณ์ทั้งปวงในโลกธรรมชาติซึ่งในที่สุดใช้รูปแบบปะทะกันภายนอกไปแก้ความขัดแย้งเก่าเพื่อให้เกิดสิ่งใหม่นั้น ล้วนแต่มีสภาพที่คล้ายคลึงกับที่กล่าวมานี้ทั้งสิ้น.
การรับรู้สภาพเช่นนี้สำคัญยิ่งนัก. มันทำให้เราเข้าใจว่า ในสังคมชนชั้น การปฏิวัติและสงครามปฏิวัติเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่พ้น หากปราศจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็จะบรรลุการก้าวกระโดดในการพัฒนาของสังคมไม่ได้ ก็จะโค่นชนชั้นปกครองปฏิกิริยาให้ประชาชนได้รับอำนาจรัฐไม่ได้. ชาวพรรคคอมมิวนิสต์จะต้องเปิดโปงการโฆษณาชวนเชื่อของพวกปฏิกิริยาที่ว่าการปฏิวัติสังคมเป็นสิ่งไม่จำเป็นและเป็นไปไม่ได้ ฯลฯ จะต้องยืนหยัดในทฤษฎีว่าด้วยการปฏิวัติสังคมแห่งลัทธิมาร์กซ-เลนิน, และทำให้ประชาชนเข้าใจว่า การปฏิวัติสังคมไม่เพียงแต่จำเป็นอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น หากยังเป็นไปได้อย่างสิ้นเชิงด้วย ประวัติศาสตร์ทั้งหมดของมนุษยชาติและชัยชนะของสหภาพโซเวียตล้วนแต่ได้พิสูจน์ให้เห็นสัจธรรมที่เป็นวิทยาศาสตร์ข้อนี้แล้วทั้งสิ้น.
แต่เราจะต้องค้นคว้าสภาพต่าง ๆ ของการต่อสู้ของความขัดแย้งอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ควรนำเอาสูตรดังกล่าวข้างต้นไปใช้กับสิ่งทั้งปวงอย่างไม่เหมาะสม. ความขัดแย้งและการต่อสู้เป็นสิ่งทั่วไปและสัมบูรณ์ แต่วิธีการแก้ความขัดแย้ง นัยหนึ่งรูปแบบการต่อสู้นั้น แตกต่างกันเพราะลักษณะของความขัดแย้งแตกต่างกัน. ความขัดแย้งบางอย่างมีลักษณะเป็นปฏิปักษ์กันอย่างเปิดเผย แต่ความขัดแย้งบางอย่างไม่เป็นเช่นนั้น. โดยการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมของสรรพสิ่ง ความขัดแย้งบางอย่างเดิมทียังมีลักษณะที่มิใช่เป็นปฏิปักษ์กัน แต่แล้วพัฒนาเป็นความขัดแย้งที่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์กัน; และก็มีความขัดแย้งบางอย่างเดิมทีมีลักษณะเป็นปฏิปักษ์กัน แต่แล้วพัฒนาเป็นความขัดแย้งที่มีลักษณะที่มิใช่เป็นปฏิปักษ์กัน.
ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ในเวลาที่ชนชั้นยังดำรงอยู่, ความขัดแย้งระหว่างความคิดที่ถูกต้องกับความคิดที่ผิดภายในพรรคคอมมิวนิสต์นั้น เป็นการสะท้อนเข้ามาภายในพรรคของความขัดแย้งทางชนชั้น. เมื่อเริ่มแรก หรือในปัญหาเฉพาะราย ความขัดแย้งชนิดนี้ไม่แน่ว่าจะแสดงออกเป็นความขัดแย้งที่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์กันทันที. แต่พร้อมกับการพัฒนาของการต่อสู้ทางชนชั้น ความขัดแย้งชนิดนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเป็นความขัดแย้งที่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์กัน. ประวัติพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียตบอกแก่เราว่า, ความขัดแย้งระหว่างความคิดที่ถูกต้องของเลนินและสตาลินกับความคิดที่ผิดของทรอตสกี้5 บุคฮารินและคนอื่น ๆ เมื่อเริ่มแรกยังมิได้แสดงออกในรูปแบบที่เป็นปฏิปักษ์กัน แต่ต่อมาก็ได้พัฒนาเป็นรูปแบบที่เป็นปฏิปักษ์กัน. ประวัติพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็เคยมีสภาพเช่นนี้. ความขัดแย้งระหว่างความคิดที่ถูกต้องของสหายจำนวนมากในพรรคเรากับความคิดที่ผิดของเฉินตู๋ซิ่ว จางกว๋อเถาและคนอื่นๆ เมื่อเริ่มแรกก็มิได้แสดงออกในรูปแบบที่เป็นปฏิปักษ์กัน แต่ต่อมาก็ได้พัฒนาเป็นรูปแบบที่เป็นปฏิปักษ์กัน. ความขัดแย้งระหว่างความคิดที่ถูกต้องกับความคิดที่ผิดภายในพรรคเราในปัจจุบัน มิได้แสดงออกในรูปแบบที่เป็นปฏิปักษ์กัน ถ้าสหายที่ทำความผิดพลาดแก้ความผิดพลาดของตนได้แล้ว ก็จะไม่พัฒนาเป็นสิ่งที่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์กัน. ด้วยเหตุนี้ ด้านหนึ่ง พรรคจะต้องดำเนินการต่อสู้อย่างเคร่งครัดกับความคิดที่ผิด อีกด้านหนึ่ง ก็จะต้องให้โอกาสอย่างเต็มที่ในการสำนึกผิดแก่สหายที่ทำความผิดพลาด. ในสภาพเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่า การต่อสู้ที่รุนแรงเกินไปนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม. แต่ถ้าผู้ทำความผิดพลาดดึงดันในความผิดพลาดและขยายความผิดพลาดนั้นต่อไป, ความขัดแย้งชนิดนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเป็นสิ่งที่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์กัน.
ความขัดแย้งระหว่างเมืองกับชนบทในด้านเศรษฐกิจนั้นเป็นความขัดแย้งที่เป็นปฏิปักษ์กันอย่างยิ่งทั้งในสังคมทุนนิยม (ที่นั่นเมืองซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของชนชั้นนายทุนปล้นสะดมชนบทอย่างทารุณ) และในเขตปกครองของก๊กมินตั๋งในประเทศจีน (ที่นั่นเมืองซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดินิยมต่างประเทศและชนชั้นนายทุนนายหน้าใหญ่ในประเทศปล้นสะดมชนบทอย่างป่าเถื่อนยิ่ง). แต่ในประเทศสังคมนิยมและในฐานที่มั่นปฏิวัติของเรา ความขัดแย้งที่เป็นปฏิปักษ์กันนี้ก็ได้เปลี่ยนเป็นความขัดแย้งที่มิใช่เป็นปฏิปักษ์กัน และเมื่อถึงสังคมคอมมิวนิสต์แล้ว ความขัดแย้งนี้ก็จะสูญสิ้นไป.
เลนินกล่าวว่า “ความเป็นปฏิปักษ์กันกับความขัดแย้งนั้นแตกต่างกันโดยเด็ดขาด. ภายใต้ระบอบสังคมนิยม ความเป็นปฏิปักษ์กันสูญสิ้นไปแล้ว แต่ความขัดแย้งยังคงดำรงอยู่.”๒๕ ทั้งนี้หมายความว่า ความเป็นปฏิปักษ์กันนั้น เป็นเพียงรูปแบบชนิดหนึ่งของการต่อสู้ของความขัดแย้งเท่านั้น มิใช่รูปแบบทั้งหมดของมัน จะนำสูตรนี้ไปใช้ในทุกหนทุกแห่งหาได้ไม่.
 

๖. ฐานะของความเป็นปฏิปักษ์กันในความขัดแย้ง

 

          ในปัญหาลักษณะต่อสู้ของความขัดแย้ง รวมถึงปัญหาที่ว่าความเป็นปฏิปักษ์กันคืออะไรด้วย. คำตอบของเราคือ ความเป็นปฏิปักษ์กันเป็นรูปแบบชนิดหนึ่งของการต่อสู้ของความขัดแย้ง มิใช่รูปแบบทั้งหมดของการต่อสู้ของความขัดแย้ง. 

          ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ มีความเป็นปฏิปักษ์กันระหว่างชนชั้นดำรงอยู่ ทั้งนี้เป็นการแสดงออกชนิดหนึ่งที่เป็นเฉพาะของการต่อสู้ของความขัดแย้ง. ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นขูดรีดกับชนชั้นถูกขูดรีด ไม่ว่าในสังคมทาสก็ดี สังคมศักดินาก็ดี หรือสังคมทุนนิยมก็ดี ชนชั้นทั้งสองที่ขัดแย้งกันนี้ อยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกันเป็นเวลายาวนาน พวกเขาต่อสู้กัน, แต่ต้องรอจนกว่าความขัดแย้งระหว่างชนชั้นทั้งสองพัฒนาไปถึงขั้นที่แน่นอนหนึ่งๆ แล้ว ทั้งสองฝ่ายจึงจะใช้รูปแบบที่เป็นปฏิปักษ์กันภายนอกและพัฒนาเป็นการปฏิวัติ. ในสังคมชนชั้นการแปรเปลี่ยนจากสันติภาพไปสู่สงคราม ก็เป็นเช่นนี้. 

          เวลาที่ลูกระเบิดยังไม่ระเบิด เป็นเวลาที่สิ่งขัดแย้งกันอยู่ร่วมกันในองค์เอกภาพอันเดียวกันเพราะเงื่อนไขที่แน่นอน. ต่อเมื่อเงื่อนไขใหม่ (การจุดชนวน) ปรากฏขึ้นแล้ว จึงจะเกิดการระเบิด. ปรากฏการณ์ทั้งปวงในโลกธรรมชาติซึ่งในที่สุดใช้รูปแบบปะทะกันภายนอกไปแก้ความขัดแย้งเก่าเพื่อให้เกิดสิ่งใหม่นั้น ล้วนแต่มีสภาพที่คล้ายคลึงกับที่กล่าวมานี้ทั้งสิ้น. 

          การรับรู้สภาพเช่นนี้สำคัญยิ่งนัก. มันทำให้เราเข้าใจว่า ในสังคมชนชั้น การปฏิวัติและสงครามปฏิวัติเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่พ้น หากปราศจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็จะบรรลุการก้าวกระโดดในการพัฒนาของสังคมไม่ได้ ก็จะโค่นชนชั้นปกครองปฏิกิริยาให้ประชาชนได้รับอำนาจรัฐไม่ได้. ชาวพรรคคอมมิวนิสต์จะต้องเปิดโปงการโฆษณาชวนเชื่อของพวกปฏิกิริยาที่ว่าการปฏิวัติสังคมเป็นสิ่งไม่จำเป็นและเป็นไปไม่ได้ ฯลฯ จะต้องยืนหยัดในทฤษฎีว่าด้วยการปฏิวัติสังคมแห่งลัทธิมาร์กซ-เลนิน, และทำให้ประชาชนเข้าใจว่า การปฏิวัติสังคมไม่เพียงแต่จำเป็นอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น หากยังเป็นไปได้อย่างสิ้นเชิงด้วย ประวัติศาสตร์ทั้งหมดของมนุษยชาติและชัยชนะของสหภาพโซเวียตล้วนแต่ได้พิสูจน์ให้เห็นสัจธรรมที่เป็นวิทยาศาสตร์ข้อนี้แล้วทั้งสิ้น. 

          แต่เราจะต้องค้นคว้าสภาพต่าง ๆ ของการต่อสู้ของความขัดแย้งอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ควรนำเอาสูตรดังกล่าวข้างต้นไปใช้กับสิ่งทั้งปวงอย่างไม่เหมาะสม. ความขัดแย้งและการต่อสู้เป็นสิ่งทั่วไปและสัมบูรณ์ แต่วิธีการแก้ความขัดแย้ง นัยหนึ่งรูปแบบการต่อสู้นั้น แตกต่างกันเพราะลักษณะของความขัดแย้งแตกต่างกัน. ความขัดแย้งบางอย่างมีลักษณะเป็นปฏิปักษ์กันอย่างเปิดเผย แต่ความขัดแย้งบางอย่างไม่เป็นเช่นนั้น. โดยการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมของสรรพสิ่ง ความขัดแย้งบางอย่างเดิมทียังมีลักษณะที่มิใช่เป็นปฏิปักษ์กัน แต่แล้วพัฒนาเป็นความขัดแย้งที่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์กัน; และก็มีความขัดแย้งบางอย่างเดิมทีมีลักษณะเป็นปฏิปักษ์กัน แต่แล้วพัฒนาเป็นความขัดแย้งที่มีลักษณะที่มิใช่เป็นปฏิปักษ์กัน. 

          ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ในเวลาที่ชนชั้นยังดำรงอยู่, ความขัดแย้งระหว่างความคิดที่ถูกต้องกับความคิดที่ผิดภายในพรรคคอมมิวนิสต์นั้น เป็นการสะท้อนเข้ามาภายในพรรคของความขัดแย้งทางชนชั้น. เมื่อเริ่มแรก หรือในปัญหาเฉพาะราย ความขัดแย้งชนิดนี้ไม่แน่ว่าจะแสดงออกเป็นความขัดแย้งที่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์กันทันที. แต่พร้อมกับการพัฒนาของการต่อสู้ทางชนชั้น ความขัดแย้งชนิดนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเป็นความขัดแย้งที่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์กัน. ประวัติพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียตบอกแก่เราว่า, ความขัดแย้งระหว่างความคิดที่ถูกต้องของเลนินและสตาลินกับความคิดที่ผิดของทรอตสกี้5 บุคฮารินและคนอื่น ๆ เมื่อเริ่มแรกยังมิได้แสดงออกในรูปแบบที่เป็นปฏิปักษ์กัน แต่ต่อมาก็ได้พัฒนาเป็นรูปแบบที่เป็นปฏิปักษ์กัน. ประวัติพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็เคยมีสภาพเช่นนี้. ความขัดแย้งระหว่างความคิดที่ถูกต้องของสหายจำนวนมากในพรรคเรากับความคิดที่ผิดของเฉินตู๋ซิ่ว จางกว๋อเถาและคนอื่นๆ เมื่อเริ่มแรกก็มิได้แสดงออกในรูปแบบที่เป็นปฏิปักษ์กัน แต่ต่อมาก็ได้พัฒนาเป็นรูปแบบที่เป็นปฏิปักษ์กัน. ความขัดแย้งระหว่างความคิดที่ถูกต้องกับความคิดที่ผิดภายในพรรคเราในปัจจุบัน มิได้แสดงออกในรูปแบบที่เป็นปฏิปักษ์กัน ถ้าสหายที่ทำความผิดพลาดแก้ความผิดพลาดของตนได้แล้ว ก็จะไม่พัฒนาเป็นสิ่งที่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์กัน. ด้วยเหตุนี้ ด้านหนึ่ง พรรคจะต้องดำเนินการต่อสู้อย่างเคร่งครัดกับความคิดที่ผิด อีกด้านหนึ่ง ก็จะต้องให้โอกาสอย่างเต็มที่ในการสำนึกผิดแก่สหายที่ทำความผิดพลาด. ในสภาพเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่า การต่อสู้ที่รุนแรงเกินไปนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม. แต่ถ้าผู้ทำความผิดพลาดดึงดันในความผิดพลาดและขยายความผิดพลาดนั้นต่อไป, ความขัดแย้งชนิดนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเป็นสิ่งที่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์กัน. 

          ความขัดแย้งระหว่างเมืองกับชนบทในด้านเศรษฐกิจนั้นเป็นความขัดแย้งที่เป็นปฏิปักษ์กันอย่างยิ่งทั้งในสังคมทุนนิยม (ที่นั่นเมืองซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของชนชั้นนายทุนปล้นสะดมชนบทอย่างทารุณ) และในเขตปกครองของก๊กมินตั๋งในประเทศจีน (ที่นั่นเมืองซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดินิยมต่างประเทศและชนชั้นนายทุนนายหน้าใหญ่ในประเทศปล้นสะดมชนบทอย่างป่าเถื่อนยิ่ง). แต่ในประเทศสังคมนิยมและในฐานที่มั่นปฏิวัติของเรา ความขัดแย้งที่เป็นปฏิปักษ์กันนี้ก็ได้เปลี่ยนเป็นความขัดแย้งที่มิใช่เป็นปฏิปักษ์กัน และเมื่อถึงสังคมคอมมิวนิสต์แล้ว ความขัดแย้งนี้ก็จะสูญสิ้นไป. 

          เลนินกล่าวว่า “ความเป็นปฏิปักษ์กันกับความขัดแย้งนั้นแตกต่างกันโดยเด็ดขาด. ภายใต้ระบอบสังคมนิยม ความเป็นปฏิปักษ์กันสูญสิ้นไปแล้ว แต่ความขัดแย้งยังคงดำรงอยู่.”๒๕ ทั้งนี้หมายความว่า ความเป็นปฏิปักษ์กันนั้น เป็นเพียงรูปแบบชนิดหนึ่งของการต่อสู้ของความขัดแย้งเท่านั้น มิใช่รูปแบบทั้งหมดของมัน จะนำสูตรนี้ไปใช้ในทุกหนทุกแห่งหาได้ไม่.

 

๔. ความขัดแย้งหลักและด้านหลักของความขัดแย้ง

 

๔. ความขัดแย้งหลักและด้านหลักของความขัดแย้ง
 
ในปัญหาลักษณะเฉพาะของความขัดแย้ง ยังมีสภาพอีก ๒ อย่างจะต้องนำเอาออกมาวิเคราะห์เป็นพิเศษ นั่นก็คือ ความขัดแย้งหลักและด้านหลักของความขัดแย้ง,
ในกระบวนการแห่งการพัฒนาของสรรพสิ่งที่สลับซับซ้อน, มีความขัดแย้งจำนวนมากดำรงอยู่ และในจำนวนนี้ย่อมจะมีอันหนึ่งเป็นความขัดแย้งหลัก เนื่องจากการดำรงอยู่และการพัฒนาของมัน จึงกำหนดหรือส่งผลสะเทือนต่อการดำรงอยู่และการพัฒนาของความขัดแย้งอื่น ๆ.
ตัวอย่างเช่น ในสังคมทุนนิยม พลังทั้งสองที่ขัดแย้งกันอันได้แก่ชนชั้นกรรมาชีพกับชนชั้นนายทุนนั้นเป็นความขัดแย้งหลัก; พลังอื่น ๆ ที่ขัดแย้งกัน เช่นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นศักดินาที่เหลือเดนกับชนชั้นนายทุน ความขัดแย้งระหว่างนายทุนน้อยที่เป็นชาวนากับชนชั้นนายทุน ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นกรรมาชีพกับนายทุนน้อยที่เป็นชาวนา, ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนายทุนเสรีกับชนชั้นนายทุนผูกขาด, ความขัดแย้งระหว่างลัทธิประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนกับลัทธิฟัสซิสต์ของชนชั้นนายทุน ความขัดแย้งระหว่างประเทศทุนนิยมด้วยกัน ความขัดแย้งระหว่างจักรพรรดินิยมกับเมืองขึ้น ตลอดจนความขัดแย้งอื่น ๆ ล้วนแต่กำหนดหรือส่งผลสะเทือนโดยพลังความขัดแย้งหลักนี้ทั้งสิ้น.
ในประเทศกึ่งเมืองขึ้นดังเช่นประเทศจีน ความสัมพันธ์ระหว่างความขัดแย้งหลักกับความขัดแย้งที่มิใช่เป็นหลักปรากฏให้เห็นในสภาพที่สลับซับซ้อน.
ในเวลาที่จักรพรรดินิยมก่อสงครามรุกรานประเทศดังกล่าวนี้ นอกจากพวกทรยศกบฏชาติจำนวนน้อยแล้ว ชนชั้นต่าง ๆ ภายในประเทศอย่างนี้สามารถจะสามัคคีกันดำเนินสงครามประชาชาติคัดค้านจักรพรรดินิยมได้ชั่วคราว. ในเวลาเช่นนี้, ความขัดแย้งระหว่างจักรพรรดินิยมกับประเทศอย่างนี้ได้กลายเป็นความขัดแย้งหลัก ส่วนความขัดแย้งทั้งปวงระหว่างชนชั้นต่างๆ ภายในประเทศอย่างนี้ (รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างระบอบศักดินากับมวลประชาชนซึ่งเป็นความขัดแย้งหลัก) ก็ล้วนแต่ลดลงสู่ฐานะรองและขึ้นต่อชั่วคราว.  ในประเทศจีน, สงครามฝิ่นปี ๑๘๔๐ สงครามจีน-ญี่ปุ่นปี ๑๘๙๔ สงครามอี้เหอถวนปี ๑๙๐๐ และสงครามจีน-ญี่ปุ่นในปัจจุบัน ล้วนแต่มีสภาพเช่นนี้ทั้งสิ้น.
แต่ในสภาพการณ์อีกอย่างหนึ่ง ฐานะของความขัดแย้งก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไป. ในเวลาที่จักรพรรดินิยมไม่ได้ทำการกดขี่ด้วยสงคราม หากกดขี่ด้วยรูปแบบที่ค่อนข้างละมุนละม่อมในทางการเมือง ทางเศรษฐกิจและทางวัฒนธรรมนั้น ชนชั้นปกครองในประเทศกึ่งเมืองขึ้นก็จะยอมจำนนต่อจักรพรรดินิยม, แล้วทั้งสองฝ่ายก็สร้างความเป็นพันธมิตรขึ้น เพื่อร่วมกันกดขี่มวลประชาชน. ในเวลาเช่นนี้ มวลประชาชนมักจะใช้รูปแบบสงครามภายในประเทศไปคัดค้านพันธมิตรระหว่างจักรพรรดินิยมกับชนชั้นศักดินา ส่วนจักรพรรดินิยมนั้นก็มักจะใช้แบบวิธีโดยอ้อม ไปช่วยเหลือพวกปฏิกิริยาในประเทศกึ่งเมืองขึ้นกดขี่ประชาชน ไม่ใช้การปฏิบัติการโดยตรง ทำให้เห็นชัดถึงลักษณะแหลมคมเป็นพิเศษของความขัดแย้งภายใน. ในประเทศจีน สงครามปฏิวัติซินไฮ่ สงครามปฏิวัติปี ๑๙๒๔ ถึงปี ๑๙๒๗ สงครามปฏิวัติที่ดินสิบปีภายหลังปี ๑๙๒๗ ล้วนแต่มีสภาพเช่นนี้ทั้งสิ้น. ยังมีสงครามกลางเมืองระหว่างกลุ่มปกครองปฏิกิริยาต่าง ๆ ในประเทศกึ่งเมืองขึ้น เช่นสงครามขุนศึกในประเทศจีน ก็จัดอยู่ในประเภทนี้เช่นเดียวกัน.
ในเวลาที่สงครามปฏิวัติภายในประเทศขยายตัวถึงขั้นที่คุกคามโดยมูลฐานต่อการดำรงอยู่ของจักรพรรดินิยมและพวกปฏิกิริยาภายในประเทศสุนัขรับใช้ของมันแล้ว จักรพรรดินิยมก็มักจะใช้วิธีการที่นอกเหนือจากวิธีการดังกล่าวข้างต้น โดยมุ่งจะรักษาการปกครองของมันไว้ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดการแยกตัวภายในแนวปฏิวัติ ไม่ก็ส่งทหารไปช่วยเหลือพวกปฏิกิริยาภายในประเทศโดยตรง. ในเวลาเช่นนี้ จักรพรรดินิยมต่างประเทศกับพวกปฏิกิริยาภายในประเทศยืนอยู่ในขั้วหนึ่งอย่างเปิดเผยโดยสิ้นเชิง ส่วนมวลประชาชนก็ยืนอยู่ในอีกขั้วหนึ่ง, กลายเป็นความขัดแย้งหลัก ซึ่งกำหนดหรือส่งผลสะเทือนต่อภาวการณ์พัฒนาของความขัดแย้งอื่น ๆ. การที่ประเทศทุนนิยมต่างๆ สนับสนุนช่วยเหลือพวกปฏิกิริยารัสเซียภายหลังการปฏิวัติเดือนตุลาคมนั้น เป็นตัวอย่างของการแทรกแซงด้วยกำลังทหาร. การทรยศของเจียงไคเช็คเมื่อปี ๑๙๒๗ เป็นตัวอย่างของการก่อให้เกิดการแตกแยกตัวในแนวปฏิบัติ.
แต่จะอย่างไรก็ตาม ในขั้นต่างๆ แห่งการพัฒนาของกระบวนการนั้น มีความขัดแย้งหลักที่มีบทบาทนำเพียงอันเดียวเท่านั้น มีความขัดแย้งหลักที่มีบทบาทนำเพียงอันเดียวเท่านั้น ข้อนี้ไม่เป็นที่สงสัยเลย.
จากนี้จะรู้ได้ว่า ในกระบวนการใด ๆ ถ้ามีความขัดแย้งจำนวนมากดำรงอยู่ ในความขัดแย้งเหล่านี้จะต้องมีอยู่อันหนึ่งที่เป็นหลัก ที่มีบทบาทนำและชี้ขาด ส่วนความขัดแย้งอื่น ๆ นั้นอยู่ในฐานะรองและขึ้นต่อ. ดังนั้น ในการค้นคว้ากระบวนการใด ๆ ก็ดี ถ้าเป็นกระบวนการที่สลับซับซ้อนที่มีความขัดแย้งมากกว่า ๒ อันดำรงอยู่แล้ว ก็จะต้องทุ่มกำลังทั้งหมดไปค้นให้พบความขัดแย้งหลักของมัน. เมื่อจับความขัดแย้งหลักนี้ได้แล้ว ปัญหาทั้งปวงก็จะแก้ตกไปได้โดยง่ายดาย. นี่คือวิธีการที่มาร์กซสอนเราเมื่อท่านค้นคว้าสังคมทุนนิยม. เมื่อเลนินและสตาลินค้นคว้าจักรพรรดินิยมและวิกฤตทั่วไปของทุนนิยม และเมื่อค้นคว้าเศรษฐกิจสหภาพโซเวียต ท่านทั้งสองก็ได้สอนวิธีการนี้แก่เราเช่นเดียวกัน. นักปราชญ์และนักการปฏิบัตินับพันนับหมื่นไม่เข้าใจวิธีการชนิดนี้ ผลก็คือ เหมือนตกลงไปในทะเลแห่งหมอกควัน ค้นไม่พบใจกลางดของปัญหา, และก็ค้นไม่พบวิธีการแก้ความขัดแย้ง.
จะถือว่าความขัดแย้งทั้งหมดในกระบวนการเป็นสิ่งเท่าเทียมกันไม่ได้ จะต้องจำแนกมันออกเป็นประเภทหลักและประเภทรอง และเน้นหนักในการจับความขัดแย้งหลักไว้ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น. แต่ในความขัดแย้งชนิดต่างๆ ไม่ว่าที่เป็นหลักหรือเป็นรอง เราจะถือว่าด้าน ๒ ด้านที่ขัดแย้งกันเป็นสิ่งเท่าเทียมกันได้ไหม? ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน. ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งชนิดใด ด้านต่างๆ ของความขัดแย้งย่อมพัฒนาไม่สม่ำเสมอกัน. บางครั้งดูคล้ายกับว่ามีกำลังพอ ๆ กัน, แต่นั่นก็เป็นเพียงสภาพชั่วคราวและสัมพัทธ์เท่านั้น ส่วนรูปการพื้นฐานหาสม่ำเสมอกันไม่. ในด้าน ๒ ด้านที่ขัดแย้งกันอยู่ ย่อมมีด้านหนึ่งที่เป็นหลัก อีกด้านหนึ่งเป็นรอง. ด้านหลักของมันก็คือสิ่งที่เรียกว่าด้านที่มีบทบาทนำในความขัดแย้งนั่นเอง. ลักษณะของสรรพสิ่งกำหนดโดยด้านหลักของความขัดแย้งซึ่งมีฐานะครอบงำเป็นสำคัญ.
แต่สภาพเช่นนี้มิใช่อยู่คงที่ ด้านหลักกับด้านที่มิใช่เป็นหลักของความขัดแย้งแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกัน ลักษณะของสรรพสิ่งก็จะแปรเปลี่ยนตามไปด้วย. ในกระบวนการที่แน่นอนหนึ่งๆ นั้นหรือในขั้นที่แน่นอนหนึ่งๆ แห่งการพัฒนาของความขัดแย้ง ด้านหลักอยู่ทางฝ่าย ก. ด้านที่มิใช่เป็นหลักอยู่ทางฝ่าย ข.; ครั้นถึงขั้นพัฒนาอีกขั้นหนึ่งหรือกระบวนการแห่งการพัฒนาอีกกระบวนการหนึ่ง ก็จะสับเปลี่ยนกัน ทั้งนี้กำหนดโดยระดับการเพิ่มหรือลดของกำลังการต่อสู้ระหว่างด้านที่ขัดแย้งกัน ๒ ด้านในการพัฒนาของสรรพสิ่ง.
เรามักจะใช้คำว่า “ใหม่เข้าแทนที่เก่า”.  ใหม่เข้าแทนที่เก่าเป็นกฎทั่วไปของจักรวาลซึ่งไม่อาจจะต้านทานได้ชั่วนิรันดร. การที่สิ่งสิ่งหนึ่งแปรเปลี่ยนเป็นอีกสิ่งหนึ่งโดยผ่านรูปแบบการก้าวกระโดดที่ต่างกันตามลักษณะและเงื่อนไขของตัวมันเองนั้น ก็คือกระบวนการที่ใหม่เข้าแทนที่เก่า. ภายในของสิ่งหนึ่งสิ่งใดล้วนแต่มีความขัดแย้งระหว่างด้านใหม่กับด้านเก่า และก่อรูปขึ้นเป็นการต่อสู้ที่คดเคี้ยวทั้งกระบวน. ผลของการต่อสู้ก็คือ ด้านใหม่เปลี่ยนจากเล็กเป็นใหญ่และเลื่อนฐานะขึ้นเป็นสิ่งครอบงำ; ส่วนด้านเก่าเปลี่ยนจากใหญ่เป็นเล็ก และกลายเป็นสิ่งที่ค่อย ๆ ก้าวไปสู่ความพินาศ. เมื่อใดที่ด้านใหม่ครองฐานะครอบงำด้านเก่า เมื่อนั้นลักษณะของสิ่งเก่าก็จะเปลี่ยนเป็นลักษณะของสิ่งใหม่. จากนี้จะเห็นได้ว่า, ลักษณะของสิ่งสิ่งหนึ่ง ที่สำคัญนั้นกำหนดโดยด้านหลักของความขัดแย้งซึ่งครองฐานะครอบงำ. เมื่อด้านหลักของความขัดแย้งซึ่งครองฐานะครอบงำเกิดการเปลี่ยนแปลง ลักษณะของสิ่งนั้นๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย.
ในสังคมทุนนิยม ทุนนิยมได้แปรเปลี่ยนจากฐานะที่ขึ้นต่อในยุคสังคมนิยมศักดินาอันเป็นยุคเก่ามาเป็นพลังที่ครองฐานะครอบงำ ลักษณะของสังคมก็เปลี่ยนไปจากศักดินานิยมมาเป็นทุนนิยมด้วย. ในยุคสังคมนิยมเมื่อครั้งเป็นยุคใหม่ อิทธิพลศักดินาได้แปรเปลี่ยนจากพลังซึ่งเดิมอยู่ในฐานะครอบงำมาเป็นพลังที่ขึ้นต่อ และแล้วก็ค่อย ๆ ก้าวไปสู่ความสูญสลาย ตัวอย่างเช่นอังกฤษ ฝรั่งเศส ก็เป็นเช่นนี้. พร้อมกันไปกับการพัฒนาของพลังการผลิต ชนชั้นนายทุนได้แปรเปลี่ยนไปจากชนชั้นใหม่ที่มีบทบาทก้าวหน้ามาเป็นชนชั้นเก่าที่มีบทบาทปฏิกิริยา จนกระทั่งในที่สุดถูกชนชั้นกรรมาชีพโค่นล้ม กลายเป็นชนชั้นที่ถูกยึดปัจจัยการผลิตส่วนบุคคลและสูญเสียอำนาจไป และชนชั้นนี้ก็จะค่อย ๆ ก้าวไปสู่ความสูญสลายเช่นเดียวกัน. ชนชั้นกรรมาชีพซึ่งมีจำนวนคนมากกว่าชนชั้นนายทุนเป็นอันมากและเติบโตขึ้นพร้อมกันกับชนชั้นนายทุนแต่ถูกชนชั้นนายทุนปกครองนั้น เป็นพลังใหม่อันหนึ่ง ชนชั้นนี้ได้เปลี่ยนจากฐานะที่ขึ้นต่อชนชั้นนายทุนในระยะแรกค่อย ๆ เติบใหญ่ขึ้นเป็นชนชั้นที่เป็นอิสระและมีบทบาทนำในประวัติศาสตร์ จนกระทั่งในที่สุดยึดอำนาจรัฐได้และกลายเป็นชนชั้นปกครอง. เมื่อนั้น ลักษณะของสังคมก็แปรเปลี่ยนจากสังคมทุนนิยมซึ่งเป็นสังคมเก่ามาเป็นสังคมสังคมนิยมซึ่งเป็นสังคมใหม่.  นี่แหละคือหนทางที่สหภาพโซเวียตได้เดินทางมาแล้วและประเทศอื่น ๆ ทั้งปวงก็จะต้องเดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น.
กล่าวตามสภาพของประเทศจีน จักรพรรดินิยมอยู่ในฐานะหลักในความขัดแย้งที่ประเทศจีนได้ก่อรูปขึ้นเป็นกึ่งเมืองขึ้น, จักรพรรดินิยมกดขี่ประชาชนจีน ส่วนประเทศจีนเปลี่ยนจากประเทศเอกราชมาเป็นกึ่งเมืองขึ้น. แต่การณ์จะต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน ในสถานการณ์การต่อสู้ระหว่าง ๒ ฝ่าย, พลังของประชาชนจีนซึ่งเติบโตขึ้นภายใต้การนำของชนชั้นกรรมาชีพจะต้องเปลี่ยนประเทศจีนจากกึ่งเมืองขึ้นไปเป็นประเทศเอกราชอย่างแน่นอน และจักรพรรดินิยมก็จะต้องถูกโค่นล้ม จีนเก่าจะต้องเปลี่ยนเป็นจีนใหม่อย่างแน่นอน.
การที่จีนเก่าเปลี่ยนเป็นจีนใหม่นั้น ยังรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพระหว่างอิทธิพลเก่าของศักดินากับอิทธิพลใหม่ของประชาชนด้วย. ชนชั้นเจ้าที่ดินศักดินาเก่าจะถูกโค่นล้มลง, เปลี่ยนจากผู้ครองอำนาจไปเป็นผู้ถูกปกครอง เมื่อนั้นชนชั้นนี้ก็จะค่อย ๆ ก้าวไปสู่ความสูญสลายเช่นเดียวกัน. ส่วนประชาชนนั้นก็จะเปลี่ยนจากผู้ถูกปกครองไปเป็นผู้ครองอำนาจภายใต้การนำของชนชั้นกรรมาชีพ. เมื่อนั้น ลักษณะของสังคมจีนก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนจากกึ่งเมืองขึ้นและกึ่งศักดินาซึ่งเป็นสังคมเก่าไปเป็นสังคมประชาธิปไตยซึ่งเป็นสังคมใหม่.
เรื่องการแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันเช่นนี้ เรามีความจัดเจนมาแล้วในอดีต. จักรวรรดิราชวงศ์เช็งซึ่งปกครองประเทศจีนอยู่เป็นเวลาเกือบ ๓๐๐ ปี ได้ถูกโค่นล้มลงไปในสมัยการปฏิวัติซินไฮ่; ส่วนสมาคมพันธมิตรปฏิวัติซึ่งนำโดยซุนยัตเซ็นได้รับชัยชนะมาครั้งหนึ่ง. ในสงครามปฏิวัติปี ๑๙๒๔ ถึงปี ๑๙๒๗ อิทธิพลปฏิวัติทางภาคใต้ซึ่งเป็นอิทธิพลร่วมกันระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับพรรคก๊กมินตั๋ง ได้เปลี่ยนจากพลังที่อ่อนแอเป็นพลังที่เข้มแข็ง และได้รับชัยชนะในสงครามปราบขุนศึกภาคเหนือ; ส่วนขุนศึกภาคเหนือที่ครองความเป็นใหญ่อยู่ชั่วระยะหนึ่งนั้นถูกโค่นล้มลงไป. เมื่อปี ๑๙๒๗, พลังประชาชนที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์ได้ถูกอิทธิพลปฏิกิริยาก๊กมินตั๋งโจมตีจนหดเล็กลงไปมาก; แต่เนื่องจากได้กวาดล้างลัทธิฉวยโอกาสภายในของตน จึงค่อย ๆ เติบใหญ่ขึ้นมาอีก. ในฐานที่มั่นปฏิวัติซึ่งนำโดยพรรคคอมมิวนิสต์, ชาวนาได้แปรเปลี่ยนจากผู้ถูกปกครองมาเป็นผู้ครองอำนาจ, ส่วนเจ้าที่ดินแปรเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม. ในโลกนี้สิ่งใหม่ย่อมเข้าแทนที่สิ่งเก่าเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา สิ่งใหม่เข้าแทนที่สิ่งเก่า ขจัดสิ่งเก่าก่อสิ่งใหม่หรือผลักสิ่งเก่าออกไปให้สิ่งใหม่ออกมาเช่นนี้มีอยู่ตลอดเวลา.
ในบางเวลาของการต่อสู้ปฏิวัติ เงื่อนไขที่ยากลำบากเหนือกว่าเงื่อนไขที่ราบรื่น ในเวลาเช่นนี้ ความยากลำบากเป็นด้านหลักของความขัดแย้ง ความราบรื่นเป็นด้านรองของความขัดแย้ง. แต่เนื่องจากความพยายามของชาวพรรคปฏิวัติ, สามารถขจัดอุปสรรคไปได้ทีละก้าว ๆ คลี่คลายขยายภาวการณ์ใหม่ที่ราบรื่น. สภาพที่กองทัพแดงในระหว่างเดินทัพทางไกล ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น. ในสงครามจีน-ญี่ปุ่นในปัจจุบัน ประเทศจีนได้ตกอยู่ในฐานะยากลำบากอีก แต่เราก็สามารถจะเปลี่ยนแปลงสภาพเช่นนี้ ทำให้สภาพการณ์ทั้งฝ่ายจีนและฝ่ายญี่ปุ่นเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยมูลฐานได้. ในสภาพตรงกันข้าม ความราบรื่นก็เปลี่ยนเป็นความยากลำบากได้ ถ้าชาวพรรคปฏิวัติทำความผิดพลาดขึ้น. ชัยชนะของการปฏิวัติปี ๑๙๒๔ ถึงปี ๑๙๒๗ เปลี่ยนไปเป็นความพ่ายแพ้แล้ว. ฐานที่มั่นปฏิวัติที่ขยายออกไปตามมณฑลต่าง ๆ ทางภาคใต้ภายหลังปี ๑๙๒๗ ก็พ่ายแพ้กันไปหมดแล้วในปี ๑๙๓๔.
ในการค้นคว้าวิชาความรู้นั้น ความขัดแย้งจากไม่รู้ไปสู่รู้ก็เป็นเช่นนี้. เมื่อเราเพิ่งเริ่มค้นคว้าลัทธิมาร์กซ มีความขัดแย้งกันอยู่ในระหว่างสภาพที่ไม่รู้ลัทธิมาร์กซหรือรู้ไม่มากกับความรู้ลัทธิมาร์กซ. แต่เนื่องจากพยายามศึกษา ก็สามารถจะแปรเปลี่ยนจากไม่รู้เป็นรู้ จากรู้ไม่มากเป็นรู้มาก และจากความหลับหูหลับตาที่มีต่อลัทธิมาร์กซเป็นความสามารถในการใช้ลัทธิมาร์กซได้อย่างเสรี.
บางคนรู้สึกว่าความขัดแย้งบางอย่างมิได้เป็นเช่นนี้. เช่นในความขัดแย้งระหว่างพลังการผลิตกับความสัมพันธ์การผลิต, พลังการผลิตเป็นด้านหลัก; ในความขัดแย้งระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติ การปฏิบัติเป็นด้านหลัก; ในความขัดแย้งระหว่างรากฐานทางเศรษฐกิจกับโครงสร้างชั้นบน รากฐานทางเศรษฐกิจเป็นด้านหลัก; ฐานะของมันหาได้แปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันไม่. นี่เป็นความเข้าใจของวัตถุนิยมกลไก มิใช่ความเข้าใจของวัตถุนิยมวิภาษ. จริงทีเดียว พลังการผลิต การปฏิบัติและรากฐานทางเศรษฐกิจ โดยทั่วไปต่างแสดงบทบาทที่เป็นหลักและชี้ขาด ผู้ใดไม่ยอมรับข้อนี้ ผู้
นั้นก็ไม่ใช่นักวัตถุนิยม. แต่ภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ ด้านเหล่านี้ คือ ความสัมพันธ์การผลิต ทฤษฎีและโครงสร้างชั้นบนก็เปลี่ยนตัวมันเองกลับมาแสดงบทบาทที่เป็นหลักและชี้ขาดอีก ข้อนี้ก็จะต้องยอมรับเช่นเดียวกัน. ในเวลาที่ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์การผลิต พลังการผลิตก็ไม่อาจจะพัฒนาไปได้นั้น การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์การผลิตก็มีบทบาทที่เป็นหลักและชี้ขาด. ในเวลาที่ “ถ้าไม่มีทฤษฎีปฏิวัติ ก็ไม่อาจมีการเคลื่อนไหวปฏิวัติได้”๑๕ ดังที่เลนินได้กล่าวไว้นั้น การสร้างและส่งเสริมทฤษฎีปฏิวัติก็มีบทบาทที่เป็นหลักและชี้ขาด. ในเวลาที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (สิ่งใด ๆ ก็เหมือนกัน) แต่ยังไม่มีเข็มมุ่ง วิธีการ, โครงการหรือนโยบายนั้น การกำหนดเข็มมุ่ง วิธีการ โครงการหรือนโยบาย ก็เป็นสิ่งที่เป็นหลักและชี้ขาด. ในเวลาที่โครงสร้างชั้นบน เช่นการเมือง วัฒนธรรม เป็นต้น ขัดขวางการพัฒนาของรากฐานทางเศรษฐกิจ การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองและวัฒนธรรมก็กลายเป็นสิ่งที่เป็นหลักและชี้ขาด. การที่เรากล่าวเช่นนี้ ขัดกับวัตถุนิยมไหม? ไม่ขัด. เพราะเรายอมรับว่า ในการพัฒนาทั่วไปของประวัติศาสตร์ สิ่งที่เป็นวัตถุกำหนดสิ่งที่เป็นจิต การดำรงอยู่ทางสังคมกำหนดจิตสำนึกทางสังคม; แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับและต้องยอมรับปฏิกิริยาของสิ่งที่เป็นจิต ปฏิกิริยาของจิตสำนึกทางสังคมที่มีต่อการดำรงอยู่ทางสังคม ปฏิกิริยาของโครงสร้างชั้นบนที่มีต่อรากฐานทางเศรษฐกิจ. นี่ไม่ขัดกับวัตถุนิยม หากเป็นการหลีกเลี่ยงวัตถุนิยมกลไกและยืนหยัดในวัตถุนิยมวิภาษทีเดียว.
ในการค้นคว้าปัญหาลักษณะเฉพาะของความขัดแย้ง ถ้าไม่ค้นคว้าสภาพทั้ง ๒ อย่าง คือ ความขัดแย้งหลักกับความขัดแย้งที่มิใช่เป็นหลักในกระบวนการ และด้านหลักกับด้านที่มิใช่เป็นหลักของความขัดแย้ง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าไม่ค้นคว้าลักษณะแตกต่างของสภาพความขัดแย้ง ๒ อย่างนี้แล้ว ก็จะจมลงไปสู่การค้นคว้าที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถจะเข้าใจสภาพความขัดแย้งอย่างเป็นรูปธรรมได้ และดังนั้นก็ไม่สามารถจะค้นพบวิธีการที่ถูกต้องในการแก้ความขัดแย้งได้. ลักษณะแตกต่างหรือลักษณะเฉพาะของสภาพความขัดแย้ง ๒ อย่างนี้, ล้วนแต่เป็นลักษณะไม่สม่ำเสมอของพลังที่ขัดแย้งกันทั้งสิ้น. ในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่พัฒนาไปอย่างสม่ำเสมอโดยสัมบูรณ์ เราจะต้องคัดค้านทฤษฎีสม่ำเสมอหรือทฤษฎีดุลยภาพ. ในขณะเดียวกัน  ภาวะความขัดแย้งที่เป็นรูปธรรมชนิดนี้ และการเปลี่ยนแปลงของด้านหลักกับด้านที่มิใช่เป็นหลักของความขัดแย้งในกระบวนการแห่งการพัฒนานั้น ก็เป็นการแสดงถึงพลังที่สิ่งใหม่เข้าแทนที่สิ่งเก่านั่นเอง. การค้นคว้าสภาพที่ไม่สม่ำเสมอต่าง ๆ ของความขัดแย้ง การค้นคว้าความขัดแย้งหลักกับความขัดแย้งที่มิใช่เป็นหลัก ด้านหลักของความขัดแย้งกับด้านที่มิใช่เป็นหลักของความขัดแย้งนั้น ได้กลายเป็นวิธีการสำคัญอันหนึ่งของพรรคการเมืองปฏิวัติในอันที่จะกำหนดเข็มมุ่งยุทธศาสตร์และยุทธิวิธีในทางการเมืองและในทางการทหารของตนอย่างถูกต้อง ซึ่งชาวพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งปวงควรต้องสนใจ.
 

๔. ความขัดแย้งหลักและด้านหลักของความขัดแย้ง

 

          ในปัญหาลักษณะเฉพาะของความขัดแย้ง ยังมีสภาพอีก ๒ อย่างจะต้องนำเอาออกมาวิเคราะห์เป็นพิเศษ นั่นก็คือ ความขัดแย้งหลักและด้านหลักของความขัดแย้ง. 

          ในกระบวนการแห่งการพัฒนาของสรรพสิ่งที่สลับซับซ้อน, มีความขัดแย้งจำนวนมากดำรงอยู่ และในจำนวนนี้ย่อมจะมีอันหนึ่งเป็นความขัดแย้งหลัก เนื่องจากการดำรงอยู่และการพัฒนาของมัน จึงกำหนดหรือส่งผลสะเทือนต่อการดำรงอยู่และการพัฒนาของความขัดแย้งอื่น ๆ. 

          ตัวอย่างเช่น ในสังคมทุนนิยม พลังทั้งสองที่ขัดแย้งกันอันได้แก่ชนชั้นกรรมาชีพกับชนชั้นนายทุนนั้นเป็นความขัดแย้งหลัก; พลังอื่น ๆ ที่ขัดแย้งกัน เช่นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นศักดินาที่เหลือเดนกับชนชั้นนายทุน ความขัดแย้งระหว่างนายทุนน้อยที่เป็นชาวนากับชนชั้นนายทุน ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นกรรมาชีพกับนายทุนน้อยที่เป็นชาวนา, ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนายทุนเสรีกับชนชั้นนายทุนผูกขาด, ความขัดแย้งระหว่างลัทธิประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนกับลัทธิฟัสซิสต์ของชนชั้นนายทุน ความขัดแย้งระหว่างประเทศทุนนิยมด้วยกัน ความขัดแย้งระหว่างจักรพรรดินิยมกับเมืองขึ้น ตลอดจนความขัดแย้งอื่น ๆ ล้วนแต่กำหนดหรือส่งผลสะเทือนโดยพลังความขัดแย้งหลักนี้ทั้งสิ้น. 

          ในประเทศกึ่งเมืองขึ้นดังเช่นประเทศจีน ความสัมพันธ์ระหว่างความขัดแย้งหลักกับความขัดแย้งที่มิใช่เป็นหลักปรากฏให้เห็นในสภาพที่สลับซับซ้อน. 

          ในเวลาที่จักรพรรดินิยมก่อสงครามรุกรานประเทศดังกล่าวนี้ นอกจากพวกทรยศกบฏชาติจำนวนน้อยแล้ว ชนชั้นต่าง ๆ ภายในประเทศอย่างนี้สามารถจะสามัคคีกันดำเนินสงครามประชาชาติคัดค้านจักรพรรดินิยมได้ชั่วคราว. ในเวลาเช่นนี้, ความขัดแย้งระหว่างจักรพรรดินิยมกับประเทศอย่างนี้ได้กลายเป็นความขัดแย้งหลัก ส่วนความขัดแย้งทั้งปวงระหว่างชนชั้นต่างๆ ภายในประเทศอย่างนี้ (รวมทั้งความขัดแย้งระหว่างระบอบศักดินากับมวลประชาชนซึ่งเป็นความขัดแย้งหลัก) ก็ล้วนแต่ลดลงสู่ฐานะรองและขึ้นต่อชั่วคราว. ในประเทศจีน, สงครามฝิ่นปี ๑๘๔๐ สงครามจีน-ญี่ปุ่นปี ๑๘๙๔ สงครามอี้เหอถวนปี ๑๙๐๐ และสงครามจีน-ญี่ปุ่นในปัจจุบัน ล้วนแต่มีสภาพเช่นนี้ทั้งสิ้น. 

          แต่ในสภาพการณ์อีกอย่างหนึ่ง ฐานะของความขัดแย้งก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไป. ในเวลาที่จักรพรรดินิยมไม่ได้ทำการกดขี่ด้วยสงคราม หากกดขี่ด้วยรูปแบบที่ค่อนข้างละมุนละม่อมในทางการเมือง ทางเศรษฐกิจและทางวัฒนธรรมนั้น ชนชั้นปกครองในประเทศกึ่งเมืองขึ้นก็จะยอมจำนนต่อจักรพรรดินิยม, แล้วทั้งสองฝ่ายก็สร้างความเป็นพันธมิตรขึ้น เพื่อร่วมกันกดขี่มวลประชาชน. ในเวลาเช่นนี้ มวลประชาชนมักจะใช้รูปแบบสงครามภายในประเทศไปคัดค้านพันธมิตรระหว่างจักรพรรดินิยมกับชนชั้นศักดินา ส่วนจักรพรรดินิยมนั้นก็มักจะใช้แบบวิธีโดยอ้อม ไปช่วยเหลือพวกปฏิกิริยาในประเทศกึ่งเมืองขึ้นกดขี่ประชาชน ไม่ใช้การปฏิบัติการโดยตรง ทำให้เห็นชัดถึงลักษณะแหลมคมเป็นพิเศษของความขัดแย้งภายใน. ในประเทศจีน สงครามปฏิวัติซินไฮ่ สงครามปฏิวัติปี ๑๙๒๔ ถึงปี ๑๙๒๗ สงครามปฏิวัติที่ดินสิบปีภายหลังปี ๑๙๒๗ ล้วนแต่มีสภาพเช่นนี้ทั้งสิ้น. ยังมีสงครามกลางเมืองระหว่างกลุ่มปกครองปฏิกิริยาต่าง ๆ ในประเทศกึ่งเมืองขึ้น เช่นสงครามขุนศึกในประเทศจีน ก็จัดอยู่ในประเภทนี้เช่นเดียวกัน. 

          ในเวลาที่สงครามปฏิวัติภายในประเทศขยายตัวถึงขั้นที่คุกคามโดยมูลฐานต่อการดำรงอยู่ของจักรพรรดินิยมและพวกปฏิกิริยาภายในประเทศสุนัขรับใช้ของมันแล้ว จักรพรรดินิยมก็มักจะใช้วิธีการที่นอกเหนือจากวิธีการดังกล่าวข้างต้น โดยมุ่งจะรักษาการปกครองของมันไว้ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดการแยกตัวภายในแนวปฏิวัติ ไม่ก็ส่งทหารไปช่วยเหลือพวกปฏิกิริยาภายในประเทศโดยตรง. ในเวลาเช่นนี้ จักรพรรดินิยมต่างประเทศกับพวกปฏิกิริยาภายในประเทศยืนอยู่ในขั้วหนึ่งอย่างเปิดเผยโดยสิ้นเชิง ส่วนมวลประชาชนก็ยืนอยู่ในอีกขั้วหนึ่ง, กลายเป็นความขัดแย้งหลัก ซึ่งกำหนดหรือส่งผลสะเทือนต่อภาวการณ์พัฒนาของความขัดแย้งอื่น ๆ. การที่ประเทศทุนนิยมต่างๆ สนับสนุนช่วยเหลือพวกปฏิกิริยารัสเซียภายหลังการปฏิวัติเดือนตุลาคมนั้น เป็นตัวอย่างของการแทรกแซงด้วยกำลังทหาร. การทรยศของเจียงไคเช็คเมื่อปี ๑๙๒๗ เป็นตัวอย่างของการก่อให้เกิดการแตกแยกตัวในแนวปฏิบัติ. 

          แต่จะอย่างไรก็ตาม ในขั้นต่างๆ แห่งการพัฒนาของกระบวนการนั้น มีความขัดแย้งหลักที่มีบทบาทนำเพียงอันเดียวเท่านั้น มีความขัดแย้งหลักที่มีบทบาทนำเพียงอันเดียวเท่านั้น ข้อนี้ไม่เป็นที่สงสัยเลย. 

          จากนี้จะรู้ได้ว่า ในกระบวนการใด ๆ ถ้ามีความขัดแย้งจำนวนมากดำรงอยู่ ในความขัดแย้งเหล่านี้จะต้องมีอยู่อันหนึ่งที่เป็นหลัก ที่มีบทบาทนำและชี้ขาด ส่วนความขัดแย้งอื่น ๆ นั้นอยู่ในฐานะรองและขึ้นต่อ. ดังนั้น ในการค้นคว้ากระบวนการใด ๆ ก็ดี ถ้าเป็นกระบวนการที่สลับซับซ้อนที่มีความขัดแย้งมากกว่า ๒ อันดำรงอยู่แล้ว ก็จะต้องทุ่มกำลังทั้งหมดไปค้นให้พบความขัดแย้งหลักของมัน. เมื่อจับความขัดแย้งหลักนี้ได้แล้ว ปัญหาทั้งปวงก็จะแก้ตกไปได้โดยง่ายดาย. นี่คือวิธีการที่มาร์กซสอนเราเมื่อท่านค้นคว้าสังคมทุนนิยม. เมื่อเลนินและสตาลินค้นคว้าจักรพรรดินิยมและวิกฤตทั่วไปของทุนนิยม และเมื่อค้นคว้าเศรษฐกิจสหภาพโซเวียต ท่านทั้งสองก็ได้สอนวิธีการนี้แก่เราเช่นเดียวกัน. นักปราชญ์และนักการปฏิบัตินับพันนับหมื่นไม่เข้าใจวิธีการชนิดนี้ ผลก็คือ เหมือนตกลงไปในทะเลแห่งหมอกควัน ค้นไม่พบใจกลางดของปัญหา, และก็ค้นไม่พบวิธีการแก้ความขัดแย้ง.  

          จะถือว่าความขัดแย้งทั้งหมดในกระบวนการเป็นสิ่งเท่าเทียมกันไม่ได้ จะต้องจำแนกมันออกเป็นประเภทหลักและประเภทรอง และเน้นหนักในการจับความขัดแย้งหลักไว้ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น. แต่ในความขัดแย้งชนิดต่างๆ ไม่ว่าที่เป็นหลักหรือเป็นรอง เราจะถือว่าด้าน ๒ ด้านที่ขัดแย้งกันเป็นสิ่งเท่าเทียมกันได้ไหม? ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน. ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งชนิดใด ด้านต่างๆ ของความขัดแย้งย่อมพัฒนาไม่สม่ำเสมอกัน. บางครั้งดูคล้ายกับว่ามีกำลังพอ ๆ กัน, แต่นั่นก็เป็นเพียงสภาพชั่วคราวและสัมพัทธ์เท่านั้น ส่วนรูปการพื้นฐานหาสม่ำเสมอกันไม่. ในด้าน ๒ ด้านที่ขัดแย้งกันอยู่ ย่อมมีด้านหนึ่งที่เป็นหลัก อีกด้านหนึ่งเป็นรอง. ด้านหลักของมันก็คือสิ่งที่เรียกว่าด้านที่มีบทบาทนำในความขัดแย้งนั่นเอง. ลักษณะของสรรพสิ่งกำหนดโดยด้านหลักของความขัดแย้งซึ่งมีฐานะครอบงำเป็นสำคัญ. 

          แต่สภาพเช่นนี้มิใช่อยู่คงที่ ด้านหลักกับด้านที่มิใช่เป็นหลักของความขัดแย้งแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกัน ลักษณะของสรรพสิ่งก็จะแปรเปลี่ยนตามไปด้วย. ในกระบวนการที่แน่นอนหนึ่งๆ นั้นหรือในขั้นที่แน่นอนหนึ่งๆ แห่งการพัฒนาของความขัดแย้ง ด้านหลักอยู่ทางฝ่าย ก. ด้านที่มิใช่เป็นหลักอยู่ทางฝ่าย ข.; ครั้นถึงขั้นพัฒนาอีกขั้นหนึ่งหรือกระบวนการแห่งการพัฒนาอีกกระบวนการหนึ่ง ก็จะสับเปลี่ยนกัน ทั้งนี้กำหนดโดยระดับการเพิ่มหรือลดของกำลังการต่อสู้ระหว่างด้านที่ขัดแย้งกัน ๒ ด้านในการพัฒนาของสรรพสิ่ง. 

          เรามักจะใช้คำว่า “ใหม่เข้าแทนที่เก่า”.  ใหม่เข้าแทนที่เก่าเป็นกฎทั่วไปของจักรวาลซึ่งไม่อาจจะต้านทานได้ชั่วนิรันดร. การที่สิ่งสิ่งหนึ่งแปรเปลี่ยนเป็นอีกสิ่งหนึ่งโดยผ่านรูปแบบการก้าวกระโดดที่ต่างกันตามลักษณะและเงื่อนไขของตัวมันเองนั้น ก็คือกระบวนการที่ใหม่เข้าแทนที่เก่า. ภายในของสิ่งหนึ่งสิ่งใดล้วนแต่มีความขัดแย้งระหว่างด้านใหม่กับด้านเก่า และก่อรูปขึ้นเป็นการต่อสู้ที่คดเคี้ยวทั้งกระบวน. ผลของการต่อสู้ก็คือ ด้านใหม่เปลี่ยนจากเล็กเป็นใหญ่และเลื่อนฐานะขึ้นเป็นสิ่งครอบงำ; ส่วนด้านเก่าเปลี่ยนจากใหญ่เป็นเล็ก และกลายเป็นสิ่งที่ค่อย ๆ ก้าวไปสู่ความพินาศ. เมื่อใดที่ด้านใหม่ครองฐานะครอบงำด้านเก่า เมื่อนั้นลักษณะของสิ่งเก่าก็จะเปลี่ยนเป็นลักษณะของสิ่งใหม่. จากนี้จะเห็นได้ว่า, ลักษณะของสิ่งสิ่งหนึ่ง ที่สำคัญนั้นกำหนดโดยด้านหลักของความขัดแย้งซึ่งครองฐานะครอบงำ. เมื่อด้านหลักของความขัดแย้งซึ่งครองฐานะครอบงำเกิดการเปลี่ยนแปลง ลักษณะของสิ่งนั้นๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย. 

          ในสังคมทุนนิยม ทุนนิยมได้แปรเปลี่ยนจากฐานะที่ขึ้นต่อในยุคสังคมนิยมศักดินาอันเป็นยุคเก่ามาเป็นพลังที่ครองฐานะครอบงำ ลักษณะของสังคมก็เปลี่ยนไปจากศักดินานิยมมาเป็นทุนนิยมด้วย. ในยุคสังคมนิยมเมื่อครั้งเป็นยุคใหม่ อิทธิพลศักดินาได้แปรเปลี่ยนจากพลังซึ่งเดิมอยู่ในฐานะครอบงำมาเป็นพลังที่ขึ้นต่อ และแล้วก็ค่อย ๆ ก้าวไปสู่ความสูญสลาย ตัวอย่างเช่นอังกฤษ ฝรั่งเศส ก็เป็นเช่นนี้. พร้อมกันไปกับการพัฒนาของพลังการผลิต ชนชั้นนายทุนได้แปรเปลี่ยนไปจากชนชั้นใหม่ที่มีบทบาทก้าวหน้ามาเป็นชนชั้นเก่าที่มีบทบาทปฏิกิริยา จนกระทั่งในที่สุดถูกชนชั้นกรรมาชีพโค่นล้ม กลายเป็นชนชั้นที่ถูกยึดปัจจัยการผลิตส่วนบุคคลและสูญเสียอำนาจไป และชนชั้นนี้ก็จะค่อย ๆ ก้าวไปสู่ความสูญสลายเช่นเดียวกัน. ชนชั้นกรรมาชีพซึ่งมีจำนวนคนมากกว่าชนชั้นนายทุนเป็นอันมากและเติบโตขึ้นพร้อมกันกับชนชั้นนายทุนแต่ถูกชนชั้นนายทุนปกครองนั้น เป็นพลังใหม่อันหนึ่ง ชนชั้นนี้ได้เปลี่ยนจากฐานะที่ขึ้นต่อชนชั้นนายทุนในระยะแรกค่อย ๆ เติบใหญ่ขึ้นเป็นชนชั้นที่เป็นอิสระและมีบทบาทนำในประวัติศาสตร์ จนกระทั่งในที่สุดยึดอำนาจรัฐได้และกลายเป็นชนชั้นปกครอง. เมื่อนั้น ลักษณะของสังคมก็แปรเปลี่ยนจากสังคมทุนนิยมซึ่งเป็นสังคมเก่ามาเป็นสังคมสังคมนิยมซึ่งเป็นสังคมใหม่.  นี่แหละคือหนทางที่สหภาพโซเวียตได้เดินทางมาแล้วและประเทศอื่น ๆ ทั้งปวงก็จะต้องเดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น. 

          กล่าวตามสภาพของประเทศจีน จักรพรรดินิยมอยู่ในฐานะหลักในความขัดแย้งที่ประเทศจีนได้ก่อรูปขึ้นเป็นกึ่งเมืองขึ้น, จักรพรรดินิยมกดขี่ประชาชนจีน ส่วนประเทศจีนเปลี่ยนจากประเทศเอกราชมาเป็นกึ่งเมืองขึ้น. แต่การณ์จะต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน ในสถานการณ์การต่อสู้ระหว่าง ๒ ฝ่าย, พลังของประชาชนจีนซึ่งเติบโตขึ้นภายใต้การนำของชนชั้นกรรมาชีพจะต้องเปลี่ยนประเทศจีนจากกึ่งเมืองขึ้นไปเป็นประเทศเอกราชอย่างแน่นอน และจักรพรรดินิยมก็จะต้องถูกโค่นล้ม จีนเก่าจะต้องเปลี่ยนเป็นจีนใหม่อย่างแน่นอน. 

          การที่จีนเก่าเปลี่ยนเป็นจีนใหม่นั้น ยังรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพระหว่างอิทธิพลเก่าของศักดินากับอิทธิพลใหม่ของประชาชนด้วย. ชนชั้นเจ้าที่ดินศักดินาเก่าจะถูกโค่นล้มลง, เปลี่ยนจากผู้ครองอำนาจไปเป็นผู้ถูกปกครอง เมื่อนั้นชนชั้นนี้ก็จะค่อย ๆ ก้าวไปสู่ความสูญสลายเช่นเดียวกัน. ส่วนประชาชนนั้นก็จะเปลี่ยนจากผู้ถูกปกครองไปเป็นผู้ครองอำนาจภายใต้การนำของชนชั้นกรรมาชีพ. เมื่อนั้น ลักษณะของสังคมจีนก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนจากกึ่งเมืองขึ้นและกึ่งศักดินาซึ่งเป็นสังคมเก่าไปเป็นสังคมประชาธิปไตยซึ่งเป็นสังคมใหม่. 

           เรื่องการแปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันเช่นนี้ เรามีความจัดเจนมาแล้วในอดีต. จักรวรรดิราชวงศ์เช็งซึ่งปกครองประเทศจีนอยู่เป็นเวลาเกือบ ๓๐๐ ปี ได้ถูกโค่นล้มลงไปในสมัยการปฏิวัติซินไฮ่; ส่วนสมาคมพันธมิตรปฏิวัติซึ่งนำโดยซุนยัตเซ็นได้รับชัยชนะมาครั้งหนึ่ง. ในสงครามปฏิวัติปี ๑๙๒๔ ถึงปี ๑๙๒๗ อิทธิพลปฏิวัติทางภาคใต้ซึ่งเป็นอิทธิพลร่วมกันระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับพรรคก๊กมินตั๋ง ได้เปลี่ยนจากพลังที่อ่อนแอเป็นพลังที่เข้มแข็ง และได้รับชัยชนะในสงครามปราบขุนศึกภาคเหนือ; ส่วนขุนศึกภาคเหนือที่ครองความเป็นใหญ่อยู่ชั่วระยะหนึ่งนั้นถูกโค่นล้มลงไป. เมื่อปี ๑๙๒๗, พลังประชาชนที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์ได้ถูกอิทธิพลปฏิกิริยาก๊กมินตั๋งโจมตีจนหดเล็กลงไปมาก; แต่เนื่องจากได้กวาดล้างลัทธิฉวยโอกาสภายในของตน จึงค่อย ๆ เติบใหญ่ขึ้นมาอีก. ในฐานที่มั่นปฏิวัติซึ่งนำโดยพรรคคอมมิวนิสต์, ชาวนาได้แปรเปลี่ยนจากผู้ถูกปกครองมาเป็นผู้ครองอำนาจ, ส่วนเจ้าที่ดินแปรเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม. ในโลกนี้สิ่งใหม่ย่อมเข้าแทนที่สิ่งเก่าเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา สิ่งใหม่เข้าแทนที่สิ่งเก่า ขจัดสิ่งเก่าก่อสิ่งใหม่หรือผลักสิ่งเก่าออกไปให้สิ่งใหม่ออกมาเช่นนี้มีอยู่ตลอดเวลา. 

          ในบางเวลาของการต่อสู้ปฏิวัติ เงื่อนไขที่ยากลำบากเหนือกว่าเงื่อนไขที่ราบรื่น ในเวลาเช่นนี้ ความยากลำบากเป็นด้านหลักของความขัดแย้ง ความราบรื่นเป็นด้านรองของความขัดแย้ง. แต่เนื่องจากความพยายามของชาวพรรคปฏิวัติ, สามารถขจัดอุปสรรคไปได้ทีละก้าว ๆ คลี่คลายขยายภาวการณ์ใหม่ที่ราบรื่น. สภาพที่กองทัพแดงในระหว่างเดินทัพทางไกล ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น. ในสงครามจีน-ญี่ปุ่นในปัจจุบัน ประเทศจีนได้ตกอยู่ในฐานะยากลำบากอีก แต่เราก็สามารถจะเปลี่ยนแปลงสภาพเช่นนี้ ทำให้สภาพการณ์ทั้งฝ่ายจีนและฝ่ายญี่ปุ่นเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยมูลฐานได้. ในสภาพตรงกันข้าม ความราบรื่นก็เปลี่ยนเป็นความยากลำบากได้ ถ้าชาวพรรคปฏิวัติทำความผิดพลาดขึ้น. ชัยชนะของการปฏิวัติปี ๑๙๒๔ ถึงปี ๑๙๒๗ เปลี่ยนไปเป็นความพ่ายแพ้แล้ว. ฐานที่มั่นปฏิวัติที่ขยายออกไปตามมณฑลต่าง ๆ ทางภาคใต้ภายหลังปี ๑๙๒๗ ก็พ่ายแพ้กันไปหมดแล้วในปี ๑๙๓๔.  

          ในการค้นคว้าวิชาความรู้นั้น ความขัดแย้งจากไม่รู้ไปสู่รู้ก็เป็นเช่นนี้. เมื่อเราเพิ่งเริ่มค้นคว้าลัทธิมาร์กซ มีความขัดแย้งกันอยู่ในระหว่างสภาพที่ไม่รู้ลัทธิมาร์กซหรือรู้ไม่มากกับความรู้ลัทธิมาร์กซ. แต่เนื่องจากพยายามศึกษา ก็สามารถจะแปรเปลี่ยนจากไม่รู้เป็นรู้ จากรู้ไม่มากเป็นรู้มาก และจากความหลับหูหลับตาที่มีต่อลัทธิมาร์กซเป็นความสามารถในการใช้ลัทธิมาร์กซได้อย่างเสรี. 

          บางคนรู้สึกว่าความขัดแย้งบางอย่างมิได้เป็นเช่นนี้. เช่นในความขัดแย้งระหว่างพลังการผลิตกับความสัมพันธ์การผลิต, พลังการผลิตเป็นด้านหลัก; ในความขัดแย้งระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติ การปฏิบัติเป็นด้านหลัก; ในความขัดแย้งระหว่างรากฐานทางเศรษฐกิจกับโครงสร้างชั้นบน รากฐานทางเศรษฐกิจเป็นด้านหลัก; ฐานะของมันหาได้แปรเปลี่ยนไปสู่กันและกันไม่. นี่เป็นความเข้าใจของวัตถุนิยมกลไก มิใช่ความเข้าใจของวัตถุนิยมวิภาษ. จริงทีเดียว พลังการผลิต การปฏิบัติและรากฐานทางเศรษฐกิจ โดยทั่วไปต่างแสดงบทบาทที่เป็นหลักและชี้ขาด ผู้ใดไม่ยอมรับข้อนี้ ผู้นั้นก็ไม่ใช่นักวัตถุนิยม. แต่ภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอนหนึ่ง ๆ ด้านเหล่านี้ คือ ความสัมพันธ์การผลิต ทฤษฎีและโครงสร้างชั้นบนก็เปลี่ยนตัวมันเองกลับมาแสดงบทบาทที่เป็นหลักและชี้ขาดอีก ข้อนี้ก็จะต้องยอมรับเช่นเดียวกัน. ในเวลาที่ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์การผลิต พลังการผลิตก็ไม่อาจจะพัฒนาไปได้นั้น การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์การผลิตก็มีบทบาทที่เป็นหลักและชี้ขาด. ในเวลาที่ “ถ้าไม่มีทฤษฎีปฏิวัติ ก็ไม่อาจมีการเคลื่อนไหวปฏิวัติได้”๑๕ ดังที่เลนินได้กล่าวไว้นั้น การสร้างและส่งเสริมทฤษฎีปฏิวัติก็มีบทบาทที่เป็นหลักและชี้ขาด. ในเวลาที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (สิ่งใด ๆ ก็เหมือนกัน) แต่ยังไม่มีเข็มมุ่ง วิธีการ, โครงการหรือนโยบายนั้น การกำหนดเข็มมุ่ง วิธีการ โครงการหรือนโยบาย ก็เป็นสิ่งที่เป็นหลักและชี้ขาด. ในเวลาที่โครงสร้างชั้นบน เช่นการเมือง วัฒนธรรม เป็นต้น ขัดขวางการพัฒนาของรากฐานทางเศรษฐกิจ การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองและวัฒนธรรมก็กลายเป็นสิ่งที่เป็นหลักและชี้ขาด. การที่เรากล่าวเช่นนี้ ขัดกับวัตถุนิยมไหม? ไม่ขัด. เพราะเรายอมรับว่า ในการพัฒนาทั่วไปของประวัติศาสตร์ สิ่งที่เป็นวัตถุกำหนดสิ่งที่เป็นจิต การดำรงอยู่ทางสังคมกำหนดจิตสำนึกทางสังคม; แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับและต้องยอมรับปฏิกิริยาของสิ่งที่เป็นจิต ปฏิกิริยาของจิตสำนึกทางสังคมที่มีต่อการดำรงอยู่ทางสังคม ปฏิกิริยาของโครงสร้างชั้นบนที่มีต่อรากฐานทางเศรษฐกิจ. นี่ไม่ขัดกับวัตถุนิยม หากเป็นการหลีกเลี่ยงวัตถุนิยมกลไกและยืนหยัดในวัตถุนิยมวิภาษทีเดียว. 

          ในการค้นคว้าปัญหาลักษณะเฉพาะของความขัดแย้ง ถ้าไม่ค้นคว้าสภาพทั้ง ๒ อย่าง คือ ความขัดแย้งหลักกับความขัดแย้งที่มิใช่เป็นหลักในกระบวนการ และด้านหลักกับด้านที่มิใช่เป็นหลักของความขัดแย้ง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าไม่ค้นคว้าลักษณะแตกต่างของสภาพความขัดแย้ง ๒ อย่างนี้แล้ว ก็จะจมลงไปสู่การค้นคว้าที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถจะเข้าใจสภาพความขัดแย้งอย่างเป็นรูปธรรมได้ และดังนั้นก็ไม่สามารถจะค้นพบวิธีการที่ถูกต้องในการแก้ความขัดแย้งได้. ลักษณะแตกต่างหรือลักษณะเฉพาะของสภาพความขัดแย้ง ๒ อย่างนี้, ล้วนแต่เป็นลักษณะไม่สม่ำเสมอของพลังที่ขัดแย้งกันทั้งสิ้น. ในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่พัฒนาไปอย่างสม่ำเสมอโดยสัมบูรณ์ เราจะต้องคัดค้านทฤษฎีสม่ำเสมอหรือทฤษฎีดุลยภาพ. ในขณะเดียวกัน  ภาวะความขัดแย้งที่เป็นรูปธรรมชนิดนี้ และการเปลี่ยนแปลงของด้านหลักกับด้านที่มิใช่เป็นหลักของความขัดแย้งในกระบวนการแห่งการพัฒนานั้น ก็เป็นการแสดงถึงพลังที่สิ่งใหม่เข้าแทนที่สิ่งเก่านั่นเอง. การค้นคว้าสภาพที่ไม่สม่ำเสมอต่าง ๆ ของความขัดแย้ง การค้นคว้าความขัดแย้งหลักกับความขัดแย้งที่มิใช่เป็นหลัก ด้านหลักของความขัดแย้งกับด้านที่มิใช่เป็นหลักของความขัดแย้งนั้น ได้กลายเป็นวิธีการสำคัญอันหนึ่งของพรรคการเมืองปฏิวัติในอันที่จะกำหนดเข็มมุ่งยุทธศาสตร์และยุทธิวิธีในทางการเมืองและในทางการทหารของตนอย่างถูกต้อง ซึ่งชาวพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งปวงควรต้องสนใจ.