bg-head-3

บทความ

เส้นทางสายไหมทางทะเล (Maritime Silk Road) ความร่วมมือจีน– อาเซียน ในศตวรรษที่ 21

       ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมอบรมโครงการ พัฒนาข้าราชการอาเซียน รุ่นที่ 1 ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม – 23 มิถุนายน 2014 ซึ่งดำเนินการโดยทุนของรัฐบาลมณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนอกจากข้าราชการไทยแล้ว ยังมีข้าราชการกลุ่มประเทศอาเซียนอื่นๆ เข้าร่วมด้วย รวมระยะเวลา 40 วัน ที่ได้ร่วมอบรมและใช้ชีวิต ในมณฑลฝูเจี้ยน ร่วมกับเพื่อนข้าราชการอาเซียน ผู้เขียนได้พบว่า ยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือระหว่างจีนกับอาเซียน ในศตวรรษที่ 21 นี้ รัฐบาลกลางและรัฐบาลมณฑลของจีนต่างปรับเข็มทิศมุ่งให้ความสำคัญกับอาเซียนอย่างแท้จริง เนื้อหาการฝึกอบรมสำคัญที่รัฐบาลมณฑลฝูเจี้ยน ต้องการนำเสนอ คือ ความพยายามเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับประเทศในกลุ่มอาเซียน ผ่านนิยามของคำว่า การพัฒนาความร่วมมือตามแนว“เส้นทางสายไหมทางทะเล” (Maritime Silk Road)

       ท่านผู้อ่านที่เคารพ เมื่อเอ่ยถึงคำว่า “เส้นทางสายไหม” (Silk Road) หลายท่านคงนึกภาพถึง ขบวนสินค้า หรือ คาราวานสินค้า ที่เดินทางไกล ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างจีน – ยุโรป ในทางภาคพื้นดิน ซึ่งเป็นภาพของการค้าในอดีตที่เต็มไปด้วยสีสัน การแลกเปลี่ยนของสินค้า การเดินทางของผู้คน และที่สำคัญ คือการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เช่น การปรากฏพบเครื่องลายครามจากจีนในตะวันออกกลาง การพบลายผ้าแบบจีนในตุรกี การพบภาพจีราฟในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของจีน เป็นต้น จนอาจเรียกได้ว่า เป็น โลกาภิวัตน์ ในช่วงเวลานั้นได้เลยที่เดียว

       เส้นทางสายไหมทางทะเล (Maritime Silk Road) เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางสำรวจเส้นทางการค้าของจีนในอดีต โดยนับเริ่มต้น เมื่อครั้งการสำรวจทางทะเลของนายพลเจิ้ง เหอ (Zhèng Hé) ผู้บัญชาการกองทัพเรือ ในยุคราชวงศ์หมิง (Ming Dynasty) ตรงกับสมัยรัชกาล จักรพรรดิหย่งเล่อ ในกลางปี ค.ศ. 1405 (พ.ศ. 1948) ซึ่งเดินทางไปสำรวจ และทำการค้าตามหัวเมืองชายทะเล กับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภูมิภาคเอเชียใต้ ภูมิภาคเอเชียตะวันตก จนถึงทวีปแอฟริกา และปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาว่า การเดินทาง ฯ ดังกล่าว มีจุดหมายปลายถึงทวีปยุโรป หรือทวีปอเมริกา เลยหรือไม่ ซึ่งหากมีหลักฐานที่เชื่อถือได้และเป็นที่ยอมรับ จะนับเป็นการค้นพบดินแดนใหม่โดยชาวจีน

       ปัจจุบัน การพัฒนาความร่วมมือตาม“เส้นทางสายไหมทางทะเล” (Maritime Silk Road) ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอย่างเป็นทาง เมื่อครั้งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง (Xí Jìnpíng) เยือนสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ปลายปี ค.ศ.2013 โดยได้กล่าวว่า “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ หนึ่งเขตเศรษฐกิจสำคัญของเส้นทางสายไหมทางทะเล จีนมีความพร้อมจะให้ความร่วมมือกับอาเซียนในทุกๆด้าน” รวมไปถึงความริเริ่มในการจัดตั้งกองทุนความร่วมมือทางทะเลจีน – อาเซียน (China – ASEAN Maritime Cooperation Fund) เพื่อขยายความร่วมมือทางทะเลระหว่างกันอีกด้วย ทั้งในการเปิดการประชุมสภาผู้แทนประชาชนจีน ประจำปี ค.ศ.2014 นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง (Li Kèqiáng) ได้เน้นย่ำถึงความสำคัญของการพัฒนาเส้นทางสายไหมทางทะเล สำหรับศตวรรษที่ 21 ประกอบกับนโยบายการให้ความสำคัญกับประเทศตอนใต้ (Look South Policy) รัฐบาลกลางของจีน วางเป้าหมายให้มณฑลยูนนาน และเขตปกครองตนเองกวางสี เป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศชายแดนทางตอนใต้ อันหมายถึง อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Sub regions) ในขณะเดียวกัน การพัฒนาความร่วมมือตาม“เส้นทางสายไหมทางทะเล” (Maritime Silk Road) มณฑลฝูเจี้ยน ซึ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เคยทำงานอยู่ที่นี้ถึง 17 ปี ถูกจับวางให้เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงกับประเทศอาเซียน 

       นโยบายของรัฐบาลกลางของจีน มีความชัดเจนในการกระชับความสัมพันธ์กับอาเซียนในทุกมิติ การพัฒนาความร่วมมือตาม“เส้นทางสายไหมทางทะเล” (Maritime Silk Road) รัฐบาลมณฑลฝูเจี้ยน ซึ่งได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญในครั้งนี้ ได้ดำเนินการขับเคลื่อนความร่วมมืออย่างจริง ในระยะเริ่มต้นผ่าน กลไกการประชุมในระดับต่าง ๆ ล่าสุด ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมสังเกตการณ์การประชุม The 16th Cross-Straits Fair for Economy and Trade (CFET)  ระหว่างวันที่ 17 -20 พฤษภาคม 2014 ณ ศูนย์การประชุม นครฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน นับเป็นงานประชุมทางวิชาการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ การถ่ายทอดนโยบายของรัฐบาลกลางสาธารณรัฐประชาชนจีน ในประเด็นการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าตามแนวทางเส้นทางสายไหมทางทะเล (Maritime Silk Road) ซึ่งรัฐบาลมณฑลฝูเจี้ยน ได้รับมอบนโยบายดังกล่าว ฯ แล้ว จะได้เร่งดำเนินนโยบายกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า (Economy and Trade Relations) ผ่านการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม (Connectivity) และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructures) กับประเทศตามเส้นทางสายไหมทางทะเล โดยได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศจีน (China Development Bank) ความร่วมมือ ฯ ดังกล่าว รัฐบาลมณฑลฝูเจี้ยน คาดหวังว่า ประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันของกลุ่มชาวจีนโพ้นทะเล (Overseas Chinese) ที่อพยพมาอยู่ในอาเซียน เช่น ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย จะเป็นสะพานเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างกัน ซึ่งชาวจีนโพ้นทะเล   ส่วนใหญ่เหล่านี้ มีพื้นเพมาจากมณฑลฝูเจี้ยนแทบทั้งสิ้น

       ท่ามกลางความขัดแย้งทางทะเล กรณีหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ ซึ่งมีจีนกับประเทศอาเซียน เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และบูรไน ยังไม่มีท่าที่จะยุติลง การขยายความสัมพันธ์ของจีนกับอาเซียน ผ่านการพัฒนาความร่วมมือตามแนวทางเส้นทางสายไหมทางทะเล (Maritime Silk Road) นับเป็นการใช้อำนาจละมุน (Soft Power) เพื่อปรับระดับ และขยายความสัมพันธ์กับประเทศอาเซียน โดยใช้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และวัฒนธรรมประเพณีที่มีความคล้ายคลึงกัน (Foreign Cultural Relations) เมื่อปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีมากขึ้น ผลประโยชน์ระหว่างกันย่อมเป็นหนึ่งในปัจจัยหลัก ที่จะทำให้โอกาสเกิดความขัดแย้งน้อยลง ท่าทีและปฏิกิริยาของจีนที่มีต่ออาเซียนในเวลานี้นั้น นอกจากการสงวนสิทธิ์กรณีหมู่เกาะในทะเลจีนใต้แล้ว ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน สังคม และวัฒนธรรมกับอาเซียน นับเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาความร่วมมือตามแนวทางเส้นทางสายไหมทางทะเล (Maritime Silk Road)

       นอกจาก สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และ ออสเตรเลียแล้ว จีนนับเป็นตัวแสดงทางการเมืองระหว่างประเทศสำคัญ ที่กำลังมีบทบาทโดดเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ ในอาเซียน ความสัมพันธ์ในรูปแบบเชิงรุก (Proactive) ของจีนต่อจากนี้ จึงจับจ้องมองลงมาที่อาเซียนชัดเจนมากขึ้นทุกขณะ ผ่านการพัฒนาความร่วมมือตามแนว“เส้นทางสายไหมทางทะเล” (Maritime Silk Road) ความร่วมมือจีน– อาเซียน ในศตวรรษที่ 21

 

 

ขอบคุณที่มา : 

ทวีศักดิ์ ตั้งปฐมวงศ์

สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงมหาดไทย