bg-head-3

บทความ

จีนศึกษา วันจันทร์ที่ ๒๙ มี.ค.๖๔ เบื้องหลังที่ลึกลับในการหารือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีน – สหรัฐฯ (中美战略对话背后的重重玄机)

 
๑. ในการเริ่มต้นการเจรจาเชิงยุทธศาสตร์ ฝ่ายจีนเห็นว่าควรเป็นคำพูดที่สุภาพ และทั้งสองฝ่ายจะไม่เริ่มการเจรจาอย่างเป็นทางการจนกว่าบรรดาผู้สื่อข่าวและสำนักข่าวต่างๆ จะออกไป แต่ฝ่ายฝ่ายสหรัฐฯ กลับเพิ่มบทดราม่าเข้ามาโดยใช้เวลาเกินกว่าสองนาทีครึ่งที่ตกลงกันในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ด้วยการกล่าวหาเกี่ยวกับกิจการภายในของจีน โดยหวังว่าจะสร้างภาพลักษณ์ให้กับคนทั้งโลกเห็นว่า สหรัฐฯ ยังสามารถบงการจีนได้ ซึ่งการกระทำของสหรัฐฯ ดังกล่าวทำให้ฝ่ายจีนโกรธอย่างเห็นได้ชัด และตอบโต้สหรัฐฯ ทันที ดังที่นายหยาง เจี๋ยฉือ ตอบโต้ด้วยประโยคที่ว่า : "สหรัฐฯ ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดกับจีนแบบวางอำนาจบาตรใหญ่และวางตัวว่าเหนือกว่า ชาวจีนจะไม่ถูกข่มขู่แบบนี้”
 
๒. ประเด็นการเจรจาหารือหลังจากสหรัฐฯ ประกาศเปิดประชุมแล้ว นายหยาง เจี๋ยฉือ ได้กล่าวเน้นว่า
     ๒.๑ วันส่งท้ายปีเก่าตามปฏิทินจันทรคติของจีน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้โทรศัพท์พูดคุยกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าควรกระชับการประสานงาน ควบคุมจุดต่าง และขยายความร่วมมือ ซึ่งสำคัญต่อการกำหนดทิศทางพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ในอนาคต เวลานี้จีนเดินทางมายังเมืองแองเคอเรจเพื่อเข้าร่วมหารือฯ เป็นมาตรการสำคัญเพื่อปฏิบัติตามความรับรู้ร่วมกันของผู้นำทั้งสองประเทศ และเป็นการตัดสินใจของผู้นำทั้งสองประเทศด้วย ประชาชนทั้งสองฝ่ายและประชาคมโลกล้วนหวังว่า การหารือครั้งนี้จะมีผลสำเร็จอย่างแท้จริง
     ๒.๒ จีนหวังว่าการหารือครั้งนี้จะมีความจริงใจและเปิดเผย จีน-สหรัฐฯ ล้วนเป็นมหาประเทศบนโลก ต้องมีความรับผิดชอบต่อสันติภาพ เสถียรภาพ รวมถึงการพัฒนาส่วนภูมิภาคและโลก จีนเพิ่งจัดการประชุมสองสภาฯ และผ่านแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ระยะห้าปี ฉบับที่ ๑๔ รวมทั้งหลักการเป้าหมายระยะยาว ปี ๒๐๓๕ (พ.ศ.๒๕๗๘) โดยปัจจุบัน จีนกำลังอยู่ในช่วงมุ่งสู่เป้าหมาย “๑๐๐ ปี” สองเป้าหมาย นั่นก็คือ จะมีความทันสมัยขั้นพื้นฐานในปี ๒๐๓๕ และจะสร้างประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัยในปี ๒๐๕๐ (พ.ศ.๒๕๙๓) ทั้งนี้ จีนประสบความสำเร็จอย่างมากในด้านการต้านโควิด-๑๙ และได้รับชัยชนะในการขจัดความยากจน มีความคืบหน้าเชิงประวัติศาสตร์ในการสร้างสังคมมั่งคั่งระดับปานกลาง ประชาชนจีนจะมีความสามัคคีภายใต้การนำของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีนายสี จิ้นผิง เป็นแกนนำ
     ๒.๓ จีนยืนหยัดค่านิยมร่วมของมนุษยชาติที่มีสันติภาพ การพัฒนา ความเที่ยงธรรม ความยุติธรรม ประชาธิปไตย และเสรีภาพ ยืนหยัดพิทักษ์ระบบสากลที่มีสหประชาชาติเป็นแกนนำ และระเบียบสากลที่ถือกฎหมายสากลเป็นพื้นฐาน ไม่ใช่ระเบียบที่กำหนดโดยประเทศส่วนน้อย ประเทศส่วนใหญ่บนโลกใบนี้จะไม่ยอมรับแนวคิดสหรัฐฯ เป็นค่านิยมสากล และจะไม่ยอมรับสิ่งที่สหรัฐฯ ระบุโดยยึดเป็นมติสากล ตลอดจนไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ที่กำหนดโดยประเทศส่วนน้อยเป็นกฎเกณฑ์สากล ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีประชาธิปไตยแบบสหรัฐฯ จีนมีประชาธิปไตยแบบจีน จีนยืนหยัดเดินบนหนทางแห่งสันติภาพและการพัฒนา ใช้ความพยายามเพื่อรักษาสันติภาพและการพัฒนาของโลกรวมถึงส่วนภูมิภาค พร้อมทั้งรักษาหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติอย่างไม่ลดละ ไม่เหมือนกับสหรัฐฯ ที่ใช้กำลังอาวุธ ทำให้โลกปั่นป่วนและไม่มั่นคง ซึ่งสหรัฐฯ มีปัญหาสิทธิมนุษยชนมากมาย สิ่งที่สหรัฐฯ ควรทำ คือ เปลี่ยนภาพลักษณ์ตนเอง จัดการปัญหาภายในประเทศด้วยดี ไม่โทษฝ่ายอื่นในเมื่อยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาของตนให้เรียบร้อยได้ รวมทั้งไม่ควรกล่าวหาสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยของจีน การนำของพรรคคอมมิวนิสต์และระบบการเมืองของจีนได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจีนอย่างมาก การกระทำใดที่มุ่งเปลี่ยนระบบสังคมของจีนย่อมจะไม่ได้ผล
     ๒.๔ จีน-สหรัฐฯ ต่างเป็นประเทศใหญ่ซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมกันด้านต่าง ๆ รวมทั้งการต้านโควิด-๑๙ ฟื้นฟูการทำงาน การผลิต และการรับมือสภาพภูมิอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงไป หวังว่าสหรัฐฯ จะเปลี่ยนแนวคิดเก่าและเลิกการกระทำผิดพลาด อย่าสร้างอุปสรรคแก่การติดต่อสัมพันธ์ทางการค้าที่เป็นปกติระหว่างกันฝ่ายโดยอ้างปัญหาความมั่นคงของรัฐ จีน-สหรัฐฯ ควรพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและควรมีหุ้นส่วนร่วม ทั้งนี้ เป็นทิศทางที่ถูกต้องในศตวรรษที่ ๒๑ ทั้งนี้ ไต้หวัน ฮ่องกง และซินเจียง ล้วนเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีนที่ไม่อาจแยกจากกันได้ สหรัฐฯ ไม่มีสิทธิ์พูดคุยกับจีนโดยวางฐานะเหนือกว่า การติดต่อสัมพันธ์กับจีน ต้องดำเนินไปบนพื้นฐานให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ประวัติศาสตร์จะพิสูจน์ได้ว่า การใช้วิธีกดดันจีนย่อมจะส่งผลกระทบต่อตัวเองในที่สุด
 
บทสรุป

นายหยาง เจี๋ยฉือ เน้นย้ำว่า ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ มีผลสำเร็จมากมายหลังจากสองฝ่ายดีต่อกัน ทั้งนี้ เป็นผลจากการใช้ความพยายามร่วมกันของทั้งสองประเทศ ปัจจุบัน สถานการณ์โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ภายใต้สถานการณ์ใหม่ สองประเทศควรเสริมการติดต่อสัมพันธ์ จัดการข้อขัดแย้งอย่างเหมาะสม พยายามผลักดันความร่วมมือ และหลีกเลี่ยงการเป็นปฏิปักษ์ จีน-สหรัฐฯ เคยมีช่วงที่เป็นปฏิปักษ์ ซึ่งจีนได้ผ่านพ้นจากช่วงนั้นแล้ว ความจริงพิสูจน์ให้เห็นว่า การเป็นปฏิปักษ์ไม่เป็นผลดีต่อสหรัฐฯ ซึ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนชี้ให้เห็นว่า จีน-สหรัฐฯ ควรบรรลุการไม่ปะทะกัน ไม่เป็นปฏิปักษ์กัน ให้ความเคารพแก่กันและกัน ดำเนินความร่วมมือและได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน ส่วนประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กล่าวว่า จีน-สหรัฐฯ ไม่ควรปะทะกันหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายควรปฏิบัติตามความเห็นพ้องต้องกันของผู้นำสองประเทศอย่างรอบด้าน ทำให้ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ กลับสู่หนทางที่พัฒนาด้วยดีอย่างมีเสถียรภาพ
 
ประมวลโดย พลตรี ไชยสิทธิ์ ตันตยกุล
 
ข้อมูลจากเว็บไซต์ https://mp.weixin.qq.com/s/J1xuBQp3GsMlFVl9zJrMjA