จีนศึกษา วันพุธที่ ๑๕ เม.ย.๖๓ ขอนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีจีนร่วมการประชุมอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาบวกสาม (จีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้) วาระพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ผ่านระบบทางไกล เมื่อช่วงบ่ายวันที่ ๑๔ เม.ย.๖๓ ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
๑. นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ได้กล่าวถึงการเป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันในอนาคต โดยต้องดำเนินการเพื่อเอาชนะโควิด-๑๙ ให้ได้โดยเร็ว ซึ่งนอกจากจะคุกคามต่อสุขภาพและชีวิตของผู้คนแล้ว ยังทำให้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากการหดตัวของอุปสงค์และอุปทาน รวมถึงเกิดความผันผวนในตลาดการเงินและการค้า ตลอดจนการลงทุนที่ซบเซา ดังนั้น อาเซียนและประเทศคู่เจรจาบวกสามจึงควรแก้ไขปัญหาวิกฤติร่วมกัน โดยวางกลไกการเตรียมความพร้อมในกรณีฉุกเฉินสำหรับต่อสู้กับโรคระบาด และเพิ่มบทบาทในเชิงบวกของการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการต่อสู้กับการแพร่ระบาดร่วมกัน และช่วยเหลือกันในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมทั้งเพิ่มความเชื่อมั่นในภูมิภาค
๒. ข้อสังเกต
๒.๑ แนวคิดที่นายกรัฐมนตรีจีนได้กล่าวถึงดังกล่าวนั้น มีความสอดรับและสนับสนุนกับข้อเสนอของไทย โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งได้เข้าร่วมการประชุมฯ และเสนอแนวทางสำคัญ ๓ แนวทาง กล่าวคือ
๒.๑.๑ จัดตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิด-๑๙ โดยจัดสรรเงินที่มีอยู่แล้ว จากกองทุนเพื่อการพัฒนาอาเซียน กองทุนความร่วมมือกับจีน ญี่ปุน เกาหลีใต้ และอาเซียนบวกสาม หรือเท่าที่สามารถตกลงกันได้ เพื่อรองรับผลกระทบ ทั้งในระยะสั้น ในการเป็นทุนสำหรับจัดซื้อชุดตรวจ อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ยังขาดแคลน ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และในระยะยาว เพื่อสนับสนุนการศึกษาวิจัยเพื่อคิดค้นวัคซีนและยา
๒.๑.๒ ใช้ประโยชน์จากกลไกความร่วมมืออาเซียนบวกสาม ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเสนอให้ใช้ประโยชน์จากกลไกความร่วมมือด้านสาธารณสุขที่มีอยู่แล้ว ร่วมกับการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ในการผลิตนวัตกรรมเพื่อป้องกันและรับมือการแพร่ระบาด และความท้าทายอื่นๆ ในอนาคต โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังเสนอให้สำนักเลขาธิการอาเซียนและสำนักเลขาธิการความร่วมมือไตรภาคี (TCS) รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านนโยบายและมาตรการของแต่ละประเทศ รวมทั้งใช้ประโยชน์จากมาตรการริเริ่มเชียงใหม่พหุภาคี (CMIM) เพื่อบรรเทาผลกระทบและสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินในภูมิภาค ในกรณีที่จำเป็น
๒.๑.๓ ส่งเสริมทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในมิติต่าง ๆ ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้นำอาเซียนบวกสามเห็นพ้องในปีที่ผ่านมา ทั้งการศึกษา การติดต่อสื่อสาร และการค้า การลงทุน พร้อมเร่งใช้เศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยีใหม่ ๆ และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ MSMEs รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือเพื่อลดผลกระทบจากข่าวปลอม
๒.๒ ก่อนหน้านั้น นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวเน้นในการประชุมสุดยอดอาเซียน เมื่อช่วงเช้าของวันที่ ๑๔ เม.ย.๖๓ ว่า รัฐบาลไทยจะสนับสนุนการวิจัยเชิงรุกเพื่อพัฒนาและจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ การพัฒนาวัคซีนสำหรับโควิด-๑๙ และการพัฒนาระบบสนับสนุนโดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ ทั้งนี้ ไม่มีประเทศใดสามารถต่อสู้กับภัยคุกคามนี้ได้โดยลำพัง พร้อมทั้งเสนอแนวทางที่สำคัญ ๕ ประการ ได้แก่
๒.๒.๑ อาเซียนต้องร่วมมือกันในทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาแบบองค์รวม พร้อมเสนอให้อาเซียนและประเทศคู่เจรจาบวกสามร่วมกันจัดตั้ง “กองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-๑๙” โดยจัดสรรเงินที่มีอยู่แล้วเท่าที่สามารถตกลงกันได้ มาใช้ในการรับมือกับโควิด-๑๙ ซึ่งรวมถึงการจัดซื้อชุดตรวจ อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล และอุปกรณ์การแพทย์ ตลอดจนเพื่อการศึกษาวิจัยคิดค้นยาและวัคซีน ให้อาเซียนสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว
๒.๒.๒ อาเซียนควรต้องร่วมกันในการอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์การผ่านพิธีการศุลกากร และการค้าชายแดนระหว่างกัน เพื่อให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ และสินค้าที่จำเป็นในช่วงวิกฤติอย่างเพียงพอและทันท่วงที
๒.๒.๓ ควรสนับสนุนให้อาเซียนใช้เศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยีใหม่ ๆ และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในภูมิภาคให้มากขึ้น เร่งรัดการเชื่อมโยงการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการใช้มาตรฐานรหัสคิวอาร์ที่เชื่อมโยงกันได้ ให้การค้าภายในภูมิภาคมีความคล่องตัวมากขึ้น
๒.๒.๔ อาเซียนควรถอดบทเรียนและประสบการณ์จากการต่อสู้กับโควิด-๑๙ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่อาจคุกคามชีวิตของประชาชนในอนาคต โดยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งจากภายในและการพึ่งพาตนเองของภูมิภาคในระยะยาวให้มากขึ้น
๒.๒.๕ ควรเสริมสร้างบทบาทของเลขาธิการอาเซียนในการเป็นผู้ประสานงานการให้ความช่วยเหลือให้ครอบคลุมถึงสถานการณ์วิกฤติอื่นๆ ให้เป็นไปอย่างมีระบบ และทันเหตุการณ์
บทสรุป
แนวคิดของนายกรัฐมนตรีจีน มีความสอดรับและสนับสนุนกับประเด็นที่นายกรัฐมนตรีไทยเสนอ ต่อกรณีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก ได้ส่งผลกระทบต่อทั้งชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจและสังคมด้วย โดยมีการคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก (GDP) ในปีนี้อาจจะติดลบถึงร้อยละ ๑.๕ และหากวิกฤติโควิด-๑๙ ยืดเยื้อต่อไป อาจจะติดลบถึงร้อยละ ๔.๗ ซึ่งทุกประเทศต้องมีความร่วมมือกัน และควรนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ ทั้งนี้ เนื่องจากไม่มีประเทศใดสามารถต่อสู้กับภัยคุกคามนี้ได้โดยลำพัง
ประมวลโดย พลตรี ไชยสิทธิ์ ตันตยกุล
ข้อมูลจากเว็บไซต์
http://www.chinaembassy.or.th/eng/zgyw/t1769522.htm
https://www.thansettakij.com/content/columnist/429695
http://english.scio.gov.cn/topnews/2020-04/14/content_75929017.htm
https://www.mcot.net/viewtna/5e958752e3f8e40af142dec1
https://www.one31.net/news/detail/20275
http://global.chinadaily.com.cn/a/202004/14/WS5e94f298a3105d50a3d15e63.html
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/875945