ความเคลื่อนไหวของจีนจากกรณีการพัฒนาเรือบรรทุกเครื่องบิน ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
๑. โฆษกกระทรวงกลาโหมจีนแถลงข่าวเมื่อวันที่ ๓๑ พ.ค.๖๑ ว่า ตั้งแต่เรือบรรทุกเครื่องบิน "เหลียวหนิง" ซึ่งเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกของจีน ที่ซื้อจากยูเครนและนำมาพัฒนาใหม่ (เรือบรรทุกเครื่องบิน "เหลียวหนิง" ลำนี้มีน้ำหนัก ๕ หมื่นตัน ยาว ๓๐๒ เมตร กว้าง ๗๐.๕ เมตร มีความเร็ว ๓๒ น็อต หรือ ๕๙ กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถบรรทุกเครื่องบินขับไล่ J-15 ได้ ๒๔ ลำ) ได้เข้าประจำการในกองทัพเรือของจีนอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๒๕ ก.ย.๕๕ เป็นต้นมา และผ่านการซ้อมรบมาแล้วหลายครั้ง เช่น การเดินทางไปยังบริเวณน่านน้ำที่ห่างไกลจากชายฝั่งเพื่อปฏิบัติการณ์สู้รบ จนถึงขณะนี้ เรือลำดังกล่าวมีความพร้อมในการสู้รบขั้นพื้นฐานแล้ว
๒. ในขณะที่เรือบรรทุกเครื่องบินของจีนลำที่ ๒ (เรือรุ่น 001A) ซึ่งเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินที่จีนออกแบบและผลิตเองเป็นลำแรก (เรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้มีน้ำหนัก ๗ หมื่นตัน ยาว ๓๑๕ เมตร กว้าง ๗๕ เมตร มีความเร็ว ๓๑ น็อต สามารถบรรทุกเครื่องบินขับไล่ J-15 ได้ ๓๖ ลำ โดยคาดว่าจะได้รับการตั้งชื่อเรือว่า “ซานตง”และคาดว่าจะนำเข้าประจำการในปี พ.ศ.๒๕๖๓) ได้เริ่มออกเดินทางจากท่าเรือเมืองต้าเหลียน วันที่ ๑๓ พ.ค.๖๑ ไปทดลองปฏิบัติหน้าที่ทางทะเลในน่านน้ำที่เกี่ยวข้อง เพื่อทดสอบสมรรถภาพของเรือ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง นับเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินจีนลำที่ ๒ ที่มีศักยภาพด้านเทคโนโลยีที่สามารถออกไปทำการทดลองทางทะเล ตั้งแต่เรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกออกทำการทดลองทางทะเล เมื่อวันที่ ๒๖ เม.ย.๖๐
๓. ข้อสังเกต ปัจจัยที่ทำให้จีนมีความต้องการเรือบรรทุกเครื่องบินเพิ่มมากขึ้น
๓.๑ ปัจจัยทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ เพื่อให้มีขีดความสามารถในการเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางต่างๆ ในซีกตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกและตอนเหนือของมหาสมุทรอินเดีย เพื่อคอยปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ต่างๆ ของจีน ทั้งที่เป็นประโยชน์เชิงภูมิรัฐศาสตร์และที่เป็นผลประโยชน์ทางทะเล
๓.๒ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณตอนเหนือของมหาสมุทรอินเดีย ถือเป็นเส้นทางลำเลียงที่สำคัญยิ่งยวดเส้นทางหนึ่งซึ่งรองรับซัปพลายทางด้านพลังงานและการไหลเวียนเข้าออกทางการค้าของประเทศจีน ขณะที่ทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ก็มีความน่าห่วงใยด้านความมั่นคงอยู่หลายประการ
๓.๓ ปัจจัยการเตรียมความพร้อมทางการทหาร ซึ่งการมีเรือบรรทุกเครื่องบินจะทำให้จีนมีช่องทางขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นมากขึ้น ในกรณีเกิดสถานการณ์ที่อยู่ในฉากทัศน์ (scenario) อันเลวร้ายที่สุด ซึ่งจะต้องรับมือกับเหตุฉุกเฉินต่างๆ ในแนวรบหลายๆ ด้าน ภายในทศวรรษหน้า ทำให้จีนมีความจำเป็นจะต้องต่อเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่ ๓ เพื่อให้มีขีดสามารถจัดวางกำลังเพื่อใช้งานเรือรบชนิดนี้ได้อย่างดีที่สุด กล่าวคือ ลำหนึ่งใช้ประจำการเพื่อเตรียมพร้อมรับศึกสงครามและออกแล่นตรวจการณ์ อีกลำหนึ่งใช้สำหรับการฝึก ในขณะที่อีกลำหนึ่งจะต้องเข้ารับการซ่อมบำรุง
บทสรุป
จีนได้กลายเป็นประเทศที่ ๗ ของโลกที่มีความสามารถในการผลิตเรือบรรทุกเครื่องบินได้เอง ต่อจากสหรัฐฯ รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปน โดยจีนริเริ่มโครงการต่อเรือบรรทุกเครื่องบินลำใหม่ (ลำที่สองของประเทศ) ซึ่งเป็นลำแรกที่ออกแบบและผลิตเอง มาตั้งแต่ปี ๒๐๑๓ (พ.ศ.๒๕๕๖) และเริ่มดำเนินการต่อเรือในปี ๒๐๑๕ (พ.ศ.๒๕๕๘) นอกจากนี้ จีนยังเตรียมการที่จะมีเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่ ๓ รวมทั้งมีแผนที่จะมีเรือบรรทุกเครื่องบินเพิ่มมากขึ้นเป็น ๖ ลำ (โดยลำที่ ๓ – ๖ จะมีขนาดใหญ่มากขึ้น) เพื่อปกป้องอำนาจอธิปไตยและผลประโยชน์ทางทะเลของจีนในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย รวมทั้งสนับสนุนโครงการความริเริ่ม “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative : BRI) โดยเฉพาะเส้นทางสายไหมทางทะเล และร่วมสนับสนุนในภารกิจการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ
ประมวลโดย : พันเอกไชยสิทธิ์ ตันตยกุล
ข้อมูลจากเว็บไซต์
http://thai.cri.cn/247/2018/06/01/232s267655.htm
http://thai.cri.cn/247/2018/05/13/230s267087.htm
http://thai.cri.cn/247/2016/01/01/232s238646.htm
https://www.bbc.com/thai/international-39717511
https://www.dailynews.co.th/foreign/629960
http://news1live.com/detail.aspx?NewsID=9610000037547
https://www.news1live.com/detail.aspx?NewsID=9610000049651