การพัฒนาเครือข่ายเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า (Facial Recognition Technology : FRT) ของจีน ที่ได้นำมาใช้ทั้งในด้านกิจการความมั่นคงและธุรกิจเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
๑. ระบบการจดจำใบหน้าของมนุษย์เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ในส่วนของ Machine Perception หรือ การรับรู้ของเครื่อง นั่นเอง โดยทั่วไปประกอบไปด้วย ๒ ขั้นตอนหลัก คือ
๑.๑ การตรวจจับใบหน้า (Face Detection) คือ กระบวนการค้นหาใบหน้าของบุคคลจากภาพหรือวีดีโอ หลังจากนั้นก็ทำการประมวลผลภาพใบหน้าที่ได้สำหรับขั้นตอนถัดไป
๑.๒ การรู้จำใบหน้า (Face Recognition) คือ กระบวนการที่นำภาพไปตรวจจับประมวลผลแล้ว จากขั้นตอนการตรวจจับใบหน้า แล้วนำมาเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลของใบหน้า เพื่อระบุว่าใบหน้านั้นตรงกับบุคคลใด
๒. จีนได้พัฒนา AI และเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเป็นเสาหลักในการปฏิรูปเศรษฐกิจและความเป็นผู้นำการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่ (ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและอินเทอร์เน็ต มาใช้ในกระบวนการผลิตสินค้า จุดเด่นที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือสามารถเชื่อมความต้องการของผู้บริโภคแต่ละรายเข้ากับกระบวนการผลิตสินค้าได้โดยตรง) โดยรัฐบาลจีนได้จัดทำแผนฯ เพื่อส่งเสริม AI และได้แต่งตั้งกิจการระดับชาติ เพื่อช่วยเป็นหัวหอกพัฒนาในสาขาเทคโนโลยีต่างๆ โดยเฉพาะกรณีที่ SenseTime ที่เพิ่งเปิดตัวระบบการตรวจสอบติดตามการจราจรอัจฉริยะ พร้อมลงนามร่วมมือกับ Shanghai Shentong Metro Group ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถไฟใต้ดินรายใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เพื่อใช้โซลูชั่น AI สำหรับการตรวจสอบการจราจรบนรถไฟใต้ดิน นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงนามข้อตกลงเชิงกลยุทธ์กับเมืองเฉิงตู เพื่อจัดตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาค โดยสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของโครงการหนึ่งแถบหนึ่งทาง (Belt and Road Initiative : BRI) เพื่อขยายและพัฒนาตลาดตะวันตกของจีน
๓. การประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า หรือ FRT กำลังขยายวงกว้างไปอีกขั้น นอกจากการนำไปใช้ในสมาร์ทโฟนหรือในอุปกรณ์ไอทีต่างๆ โดยจีนถือเป็นประเทศนำร่องในการใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าวในวงกว้าง เช่น
๓.๑ ที่ร้าน KFC เริ่มใช้ระบบ “สไมล์ ทู เพย์” ซึ่งเอาเทคโนโลยีจดจำใบหน้ามาใช้ในการชำระเงินออนไลน์เป็นครั้งแรก สำหรับผู้ใช้บริการอาลีเพย์ ของแอนต์ ไฟแนนเชียล และในขณะนี้ เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าที่ว่ากำลังกลายเป็นอาวุธสำคัญให้ธุรกิจร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมในจีน โดยบริษัทซูหนิง คอมเมิร์ซ กรุ๊ป ผู้บริหารร้านค้าปลีกกว่า ๑,๕๐๐ แห่งในจีน กำลังจะเปิดตัว “ร้านไร้พนักงาน” อีก ๓ แห่งในกรุงปักกิ่ง เมืองฉิงชิ่ง และเมืองซูโจวในอนาคตอันใกล้นี้ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของร้านไร้พนักงานของซูหนิงคือ ระบบ Biu ที่ผสมผสานเทคโนโลยีจดจำใบหน้า เทคโนโลยี อาร์เอฟไอดี (RFID) บิ๊กดาต้า และระบบการชำระเงินออนไลน์เข้าด้วยกัน ทำให้ลูกค้าก็สามารถเดินเข้ามาในร้านได้ทันทีเพียงแค่สแกนใบหน้าบริเวณทางเข้า ในระหว่างเลือกซื้อของ ระบบจะบันทึกสินค้าต่างๆ โดยอัตโนมัติ ทำให้การจ่ายเงินก่อนออกจากร้านใช้เวลาเพียง ๑๕ วินาทีเท่านั้น
๓.๒ โรงเรียนมัธยมในประเทศจีนในเมืองหางโจว ( A high school No. 11 in Hangzhou City ) ได้ใช้เทคโนโลยี IoT และ AI จดจำใบหน้าผ่านโครงการ Smart Campus เพื่อนำไปวิเคราะห์พฤติกรรมของนักเรียนผ่านการแสดงออกทางสีหน้าและใช้เช็คชื่อเข้าโรงเรียนโดยไม่ต้องใช้ลายเซ็น, บัตรนักเรียนหรือใช้ระบบเช็คชื่อผ่านสมาร์ทโฟนอีกต่อไป และการใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้านักเรียนหรือ FRT เป็นการบริหารจัดการพฤติกรรมแบบอัจฉริยะ โดยในห้องเรียนมีการใช้กล้อง ๑๑ ตัวและใช้ระบบในการสแกนทุกๆ ๓๐ วินาที ซึ่งแบ่งประเภทในพฤติกรรมของนักเรียนคือ การอ่าน, การเขียน, การยกมือมือ, การลุกนั่ง, การฟังครู และกิจกรรมที่นักเรียนทำบนโต๊ะ นอกจากนี้ ยังมีการบันทึกสีหน้าของนักเรียนทั้งสีหน้าที่แสดงถึงความสุข, สีหน้าที่แสดงถึงอารมณ์เสีย, สีหน้าที่แสดงถึงสีหน้าที่แสดงถึงอารมณ์โกรธ, สีหน้าที่แสดงถึงความกล้วและสีหน้าที่แสดงถึงอารมณ์เบื่อหน่าย โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกรวบรวมไปรายงานผลยังคุณครู เพื่อให้ดูแลพฤติกรรมและจัดการเรียนการสอนให้ดีขึ้น
๔. ข้อสังเกต
๔.๑ จีนได้เตรียมแผนการติดตั้งกล้องที่มีความสามารถจดจำใบหน้าเพื่อรักษาความปลอดภัยทั่วประเทศในชื่อ Skynet ซึ่งสามารถทำงานได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง จำนวนมากกว่า ๒๐ ล้านตัว ทั้งประเทศภายในปี ๒๐๒๐ (พ.ศ.๒๕๖๓) เพื่อรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบเรียลไทม์
๔.๒ การใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าอย่างแพร่หลาย ทำให้จะต้องมีใบหน้าจำนวนมาก และข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของใบหน้าเหล่านั้นที่ถูกเก็บไว้ในโลกออนไลน์มากขึ้นเช่นกัน ซึ่งนำไปสู่ประเด็นเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ไม่ว่าจะในโทรศัพท์มือถือ หรือในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ
บทสรุป
สถาบันวิจัย China’s Forward-looking Industry Institute ได้รายงานการเติบโตของอุตสาหกรรม เทคโนโลยีจดจำใบหน้า หรือ FRT ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยในปี ๒๐๑๗ (พ.ศ.๒๕๖๐) มีมูลค่าทะลุกว่า ๑ พันล้านหยวน (ประมาณ ๑๕๐ ล้านเหรียญสหรัฐ) และภายในปี ๒๐๒๑ (พ.ศ.๒๕๖๔) คาดว่าจะเติบโตสูงถึง ๕.๑ พันล้านหยวน ซึ่งนอกจากจะถูกนำมาใช้ในกิจการด้านความมั่นคงเพื่อรักษาความปลอดภัยแล้ว ยังเป็นที่ต้องการใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างกว้างขวาง ทั้งธนาคาร ร้านอาหาร ยิมออกกำลังกาย และสายการบิน เป็นต้น ในขณะที่กลุ่มนักสิทธิมนุษยชนได้วิจารณ์ว่า เทคโนโลยีนี้ อาจถูกนำไปใช้ในทางมิชอบและละเมิดความเป็นส่วนตัว และควรมีการจัดทำโครงร่างปฏิบัติเพื่อใช้เป็นแนวทางในการควบคุมการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าด้วย
ประมวลโดย : พันเอกไชยสิทธิ์ ตันตยกุล
ข้อมูลจากเว็บไซต์
https://mgronline.com/china/detail/9610000058508
https://www.voathai.com/a/face-recognition-technology/4283734.html
https://www.posttoday.com/it/529675
http://www.newtv.co.th/news/11434