Sense Time บริษัทสตาร์ทอัพจากจีน ได้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับระบบการตรวจวิเคราะห์ใบหน้าและรูปภาพในสเกลขนาดใหญ่ ทั้งในโทรศัพท์มือถือและกล้องวงจรปิด มีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
๑. Sense Time บริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI รายนี้ได้รับเงินลงทุน Series C มูลค่า ๖๐๐ ล้านเหรียญจาก Alibaba รวมถึงได้รับเงินจากนักลงทุนรายอื่น ๆ เช่น Temasek แลt Suning.com ทำให้บริษัทดังกล่าวมีมูลค่าบริษัทขึ้นไปถึง ๔,๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกลายเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกเวลานี้ รวมทั้งทางบริษัทได้พัฒนา “Viper” แพลตฟอร์มที่ดึงเอาข้อมูลจากกล้องวงจรปิดนับหมื่นตัวเพื่อใช้ในการสอดส่องประชาชน (Mass Surveillance) ที่มีชื่อแบบไม่เป็นทางการ หรือ Codename ว่า “Viper” โดยบริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาขอระดมทุน ซึ่งคาดว่าจำนวนเงินลงทุนจะมีมูลค่ามากกว่า ๔,๕๐๐ ล้านบาท
๒. เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าสามารถใช้ Viper เพื่อติดตามเหตุด่วนเหตุร้ายและอุบัติเหตุ รวมไปถึงบุคคลที่น่าสงสัยที่อยู่ใน Blacklist ได้อีกด้วย ในขณะที่ผู้ที่แนวคิดเสรีนิยม (Liberal) ก็ระบุว่าระบบนี้ถูกใช้ในการตรวจจับนักเคลื่อนไหว (Activists) และกดขี่ชนกลุ่มน้อย เช่น ชนกลุ่มน้อยที่อยู่ทางตะวันตกของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์
๓. ข้อสังเกต
๓.๑ เทคโนโลยีสำหรับระบบการตรวจวิเคราะห์ใบหน้าและรูปภาพในสเกลขนาดใหญ่ เป็นสิ่งที่จำเป็นและถูกนำไปใช้งานในรูปแบบที่แตกต่างไปขึ้นอยู่กับผู้อำนาจในแต่ละประเทศ
๓.๒ แหล่งข้อมูลสำคัญที่จะช่วยเทรนระบบการตรวจจับใบหน้าและภาพของ Sense Time ให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้นก็จะมาจากหน่วยงานตำรวจของจีน วีดีโอจากกล้องวงจรปิด และเจ้าหน้าที่ของ ๔๐ เมืองในจีนเอง
๓.๓ ผลงานที่สำคัญ โดยเมื่อวันที่ ๑๐ เม.ย.๖๑ เว็บไซต์ kankanews.com รายงานว่า ช่วงค่ำวันที่ ๗ เม.ย.๖๑ เวลาประมาณ ๑๙.๔๐ น. ระหว่างการแสดงคอนเสิร์ตของ “จาง เสวียโหย่ว” นักร้องและนักแสดงชื่อดังชาวฮ่องกง ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์กีฬานานาชาติหนานชาง เมืองหนานชาง มณฑลเจียงซี ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เดินทางมาควบคุมตัวชายแซ่อ๋าว (敖) วัย ๓๑ ปี ชาวเมืองจางซู่ มณฑลเจียงซี จากการชี้เป้าของระบบ “ตรวจจับใบหน้า (Face Recognition)” ซึ่งระบุว่าชาวคนดังกล่าวน่าจะเป็นบุคคลที่กำลังหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
บทสรุป
รัฐบาลจีนกำลังสร้างเครือข่ายกล้องวงจรปิดอัจฉริยะที่มีความซับซ้อน ทั้งยังผสมผสานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้าไปทำให้สามารถตรวจจับและแยกแยะบุคคลได้จากใบหน้า โดยการทดลองระบบดังกล่าวทำให้ควบคุมตัวคนร้ายได้ภายในเวลาเพียง ๗ นาทีหลังจากออกเดินไปในที่สาธารณะ ซึ่งปัจจุบันจีนติดตั้งกล้องอัจฉริยะดังกล่าวไปแล้วกว่า ๑๗๐ ล้านตัว และในอีก ๓ ปีข้างหน้าจะติดตั้งกล้องเพิ่มเติมอีก ๔๐๐ ล้านตัว สำหรับระบบกล้องวงจรปิดอัฉจริยะดังกล่าว สามารถตรวจจับใบหน้าคน แยกแยะเพศ ชาติพันธุ์ ทำนายอายุ ส่วนสูง เชื่อมโยงใบหน้าคนเข้ากับการเป็นเจ้าของยานพาหนะ และยังอาจระบุความถี่ในการปฏิสัมพันธ์ของคนร้ายกับผู้อื่นได้อีกด้วย เป็นต้น อันจะทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ประมวลโดย : พันเอกไชยสิทธิ์ ตันตยกุล
ข้อมูลจากเว็บไซต์
https://mgronline.com/china/detail/9610000036844